xs
xsm
sm
md
lg

กรมท่องเที่ยวลุยเปิด 11 เส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ สร้างความยั่งยืนเที่ยวไทยทุกมิติ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ศูนย์ข่าวขอนแก่น - สื่อมวลชน-ตัวแทนวิสาหกิจชุมชนลุยตะลอนทัวร์เส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ เส้นทางขอนแก่น-ชัยภูมิ เรียนรู้กิจกรรมท่องเที่ยวหลากหลายพึ่งพาธรรมชาติ เผยเป็น 1 ใน 11 เส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำนำร่องปี 67 ชูแนวโน้มนักท่องเที่ยวให้ความสำคัญต่อการใช้ชีวิตลดภาวะโลกร้อนมากขึ้น เป็นการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพและหนุนสร้างความยั่งยืนได้ทุกมิติ

น.ส.วรธีรา สุวรรณศร ผู้อำนวยการกองพัฒนาการท่องเที่ยว กรมการท่องเที่ยว
เมื่อวันที่ 11-12 พ.ย.ที่ผ่านมา กรมการท่องเที่ยวได้นำสื่อมวลชน ตัวแทนวิสาหกิจชุมชนและผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวในพื้นที่ จ.ขอนแก่นกว่า 30 คน นำร่องเดินทางท่องเที่ยวตามเส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ เส้นทางจังหวัดขอนแก่น-จังหวัดชัยภูมิ เริ่มจากการชมพลังงานทางเลือก โรงแรมโฆษะ, เรียนรู้จิตรกรรมฝาผนังหรือฮูปแต้ม วัดไชยศรี ต.สาวะถี อ.เมืองขอนแก่น, ทำดอกผึ้ง ชุมชนหินร่อง อ.เวียงเก่า, เรียนรู้การสานกำไลหญ้าแฝก เครื่องประดับจากธรรมชาติ, กิจกรรมคาร์บอนต่ำกับไร่แทนคุณแผ่นดิน ชมพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ อุทยานแห่งชาติภูเวียง หลังจากนั้นเดินทางดูงานกลุ่มโฮมสเตย์ OTOP นวัตวิถีบ้านซับสีทอง และเรียนรู้การจัดการขยะของอุทยานแห่งชาติตาดโตน อ.เมือง จ.ชัยภูมิ

เส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ จ.ขอนแก่น-จ.ชัยภูมิดังกล่าว เป็น 1 ใน 11 เส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำต้นแบบทั่วประเทศ ภายใต้โครงการส่งเสริมเส้นทางท่องเที่ยวลดคาร์บอน (Low Carbon Tourism) เพื่อหวังให้ทุกภาคส่วนตระหนักและให้ความสำคัญต่อการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เตรียมพร้อมสร้างมาตรฐานและส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ เพื่อก้าวไปสู่การท่องเที่ยวที่ยั่งยืนในทุกมิติ

นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว เปิดเผยว่า สภาวะโลกร้อนในปัจจุบันส่งผลกระทบทั้งเรื่องมลพิษและก๊าซเรือนกระจก จนทำให้โลกกำลังก้าวเข้าสู่สภาวะโลกเดือด ซึ่งในอนาคตอันใกล้หากทั้งโลกไม่ช่วยกันลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในทุกกิจกรรมของการดำเนินชีวิต จะส่งผลให้สภาพอากาศและสมดุลทางธรรมชาติแปรปรวน ซึ่งเป็นอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตต่างๆ ทั้งหมดบนโลก รวมถึงในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่มีการเชื่อมโยงระหว่างกิจกรรมการท่องเที่ยวกับสิ่งแวดล้อม เริ่มตั้งแต่ออกเดินทางโดยใช้พาหนะต่างๆ ตลอดจนการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมของสถานประกอบการ ทำให้พบว่ามีบทบาทสำคัญที่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกมากขึ้น






กรมการท่องเที่ยวในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจในการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวไทยให้ยั่งยืน ให้ความสำคัญต่อการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จึงส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวให้ปรับรูปแบบการบริหารจัดการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก จัดอบรมสร้างองค์ความรู้การจัดการก๊าซเรือนกระจก ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและรบกวนสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด

ส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบและยั่งยืน รวมถึงการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวลดคาร์บอนให้แก่ผู้ประกอบการ ชุมชน และผู้ที่เกี่ยวข้อง ภายใต้โครงการส่งเสริมเส้นทางท่องเที่ยวลดคาร์บอน (Low Carbon Tourism) โดยจัดทำต้นแบบเส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำเชื่อมโยงกับสถานที่ที่ได้รับมาตรฐานการท่องเที่ยวไทยจากกรมการท่องเที่ยว ซึ่งมี 11 เส้นทางทั่วประเทศครอบคลุมทุกภูมิภาคของไทย

ประกอบด้วย เส้นทางขอนแก่น-ชัยภูมิ, อุดรธานี-หนองคาย, เลย-เพชรบูรณ์, จันทบุรี-ตราด, กาญจนบุรี-ราชบุรี, สมุทรสงคราม-สมุทรสาคร, เชียงราย-พะเยา, เชียงใหม่-ลำปาง, อุทัยธานี-นครสวรรค์, กระบี่-สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต-พังงา

ขณะที่ น.ส.วรธีรา สุวรรณศร ผู้อำนวยการกองพัฒนาการท่องเที่ยว กรมการท่องเที่ยว กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันตลาดท่องเที่ยวให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมมาก โดยเฉพาะสหภาพยุโรปที่มีกฎหมายใหม่ให้นักท่องเที่ยวของอียูเข้ามาเที่ยวในเส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ ทำอย่างไรจะรักษาโลกไว้ให้ได้มากที่สุด กรมการท่องเที่ยวเล็งเห็นความสำคัญของการรักษาสิ่งแวดล้อมด้านการท่องเที่ยว โครงการนี้จึงกำหนดหลักเกณฑ์คุณภาพขึ้นมาก่อน ทำให้ผู้ประกอบการ ชุมชน ยกระดับตัวเองให้ได้มาตรฐานเรื่องคาร์บอนต่ำ เพื่อเป็นตัวเลือกให้นักท่องเที่ยวเกิดความสนใจอยากมาเที่ยว

“วันนี้เราได้สร้างจุดขายหลายสิ่งเพื่อดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาในพื้นที่ ให้เกิดรายได้ทั้งกับผู้ประกอบการ ชุมชน ซึ่งหลายชุมชนปัจจุบันปรับตัวเป็นชุมชนคาร์บอนต่ำแล้ว ขายหลายอย่างทั้งวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม อาทิ เสิร์ฟอาหารอย่างไรไม่มีพลาสติกเข้ามาเกี่ยวข้อง เราเชิญชวนทั้งผู้ประกอบการ ชุมชน ให้ยกระดับรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ให้ทั้งโลกรู้ว่าประเทศไทยก้าวไปไกลพร้อมรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกแล้ว” น.ส.วรธีรากล่าวและว่า

สำหรับพื้นที่ภาคอีสาน มีเส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ 3 เส้นทาง ประกอบด้วยขอนแก่น-ชัยภูมิ, อุดรธานี-หนองคาย และเลย-เพชรบูรณ์ สาเหตุที่นำร่องเปิดเส้นทางที่ขอนแก่น เนื่องจากผู้ประกอบการและชุมชนมีความพร้อม โดยเฉพาะการรักษาสิ่งแวดล้อมทางการท่องเที่ยว ผู้ประกอบการในขอนแก่นมีความเข้มแข็ง พร้อมก้าวไปข้างหน้าในการเป็นต้นแบบของประเทศไทย ส่วนในแง่นักท่องเที่ยวพบว่าคนรุ่นใหม่เจเนอเรชัน Z มีความใส่ใจในสิ่งแวดล้อมมาก เส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำจึงสอดคล้องกับวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ได้








ขณะเดียวกัน คนในพื้นที่มีความเข้าใจในการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะผู้ประกอบการต่างมีมายด์เซตที่ดี ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร ล้วนเข้าใจเรื่องเส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ และการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งโครงการเส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำเป็นปีแรกที่กรมการท่องเที่ยวดำเนินการ

“ขั้นตอนหลังจากนี้กรมการท่องเที่ยวจะจัดทำมาตรฐานเส้นทางโลว์คาร์บอน เป็นมาตรฐานระดับประเทศที่จะใช้ควบคุมคุณภาพ ซึ่งปัจจุบันมีเอกชนทำเรื่องเส้นทางโลว์คาร์บอนหลายแห่ง แต่ยังไม่มีภาครัฐเข้าไปรับรองว่าเป็นเส้นทางโลว์คาร์บอนจริงหรือไม่ที่จะเสนอขายให้กับนักท่องเที่ยว ในอนาคตอันใกล้กรมการท่องเที่ยวจะออกมาตรฐานเส้นทางโลว์คาร์บอนเพื่อดูคุณภาพทั้งประเทศไทย” น.ส.วรธีรากล่าว และว่า

ปัจจุบันนักท่องเที่ยวในอียูให้ความสำคัญต่อการรักษาสิ่งแวดล้อมมาก ถึงขั้นออกกฎหมายสิ่งแวดล้อมกับสิ่งต่างๆ เริ่มตั้งแต่ภาคอุตสาหกรรม ภาคการท่องเที่ยว เช่นประเทศใดที่ไม่มีที่พักที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่มีเส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ อียูก็จะไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเที่ยวประเทศนั้น ประเด็นใส่ใจสิ่งแวดล้อมจึงเป็นเรื่องสำคัญ เป็นอนาคตของประเทศที่ทุกภาคส่วนต้องให้ความสำคัญ






ขณะที่นายสุรสิทธิ์ บุปผา เจ้าของสวนอเล็งญา ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ อ.บ้านฝาง จ.ขอนแก่น กล่าวว่า ได้ทำสวนเกษตรแบบผสมผสานร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่ จัดกิจกรรมขายพืชเกษตร ซึ่งการร่วมเส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำกับกรมการท่องเที่ยวครั้งนี้ ทำให้ได้มุมมองทำการเกษตรในแง่มุมต่างๆ การประยุกต์ทำเกษตรจากทฤษฎีเกษตรพอเพียงมาปรับใช้ในสวนเกษตรของตนเองได้

“รู้สึกประทับใจในการจัดการด้านต่างๆของผู้ประกอบการที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม น่าจะนำไปปรับใช้ โดยจะต้องพูดคุยกับสมาชิกที่ร่วมทำสวนเกษตร เพื่อรีไซเคิล การลดคาร์บอน ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อภาพรวมการท่องเที่ยว ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม และทำเกษตรโดยรวมอีกด้วย” นายสุรสิทธิ์กล่าวทิ้งท้าย


กำลังโหลดความคิดเห็น