นครปฐม - หมอผึ้ง เจ้าของช่องหมอหมาหมอแมว เผยการใช้ยาสลบในหมา แมว ต้องมีการตรวจสุขภาพสัตว์ให้มีความพร้อม และต้องมีบุคลากรทางการแพทย์ประกบ เพราะอาจจะมีกรณีแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ ส่วนตัวมองการทำสื่อหนังหรือประชาสัมพันธ์ ถ้าใช้เทคนิคถ่ายทำที่ดีคนดูยังรับได้ ที่สำคัญให้มองเขาเหมือนเราไม่ควรถูกกระทำให้เกิดความเสี่ยง
สัตวแพทย์หญิงภสดล อนุรักษ์โอฬาร (หมอผึ้ง) เจ้าของช่องยูทูป "หมอหมาหมอแมว" ให้ความเห็นเกี่ยวกับการวางยาสลบให้สุนัข แมว อย่างปลอดภัยว่า ต้องมีการเตรียมตัวในการวางยาสุนัขและแมว ซึ่งทั้งหมาและแมวมีความใกล้เคียงกันมาก โดยส่วนสำคัญอยู่ที่สุขภาพของสัตว์ ในบางตัวต้องมีการตรวจประเมินหัวใจเอกซเรย์ในช่องอก อย่างตัวที่มีความซีเรียสมากๆ จะต้องมีการตรวจหัวใจและตรวจอย่างละเอียดด้วยการเอคโค่หัวใจ เพื่อดูการทำงานของหัวใจ เนื่องจากหัวใจกับปอดมีผลต่อการวางยามาก โดยก่อนวางยาสลบจะต้องมีการเตรียมตัวอย่างน้อย 8 ถึง 12 ชั่วโมง ส่วนตัวที่มีน้ำหนักน้อยอาจจะมีการเตรียมตัวน้อยกว่านั้น อาจจะเป็น 4 ถึง 6 ชั่วโมงหรือ 6 ถึง 8 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับอายุของสัตว์ด้วย แต่ในทุกเคสต้องมีการเตรียมตัวป้องกันผลกระทบหลังจากการวางยาที่จะเกิดขึ้นได้
หมอผึ้ง กล่าวอีกว่า สำหรับข้อห้ามในการวางยาสุนัขและแมวจะเรียกตรงๆ ไม่ถูกต้องนะ อาจจะต้องใช้คำว่าข้อระวังมากกว่า อย่างเช่นสุนัข แมวที่มีโรคแทรกซ้อน อย่างเช่นโรคหัวใจหรือเรื่องของปอด เรื่องของโรคไต โรคตับที่มีผลต่อการขับยาในกรณีเหล่านี้ และในการวางยาสลบหากเป็นปกติไม่ใช่ที่เป็นการผ่าตัดจะต้องมีการเตรียมสภาพของสัตว์ไว้ก่อน เช่น การให้น้ำเกลือรอไว้หนึ่งคืนเพื่อเตรียมพร้อมในการผ่าตัดต่อไป รวมถึงการผ่าตัดบางอย่างจะต้องมีการเตรียมเลือดหรือเตรียมส่วนประกอบอย่างอื่นด้วย ส่วนบางเคสที่มีผลกระทบที่เกิดขึ้นอาจจะมีอาการชักหลังการผ่าตัด หรือวางยาสลบไปแล้วอาจจะต้องมีการแอดมิดนานมากขึ้นเป็นประมาณ 12 ถึง 24 ชั่วโมงเพื่อดูอาการอย่างแน่ชัดว่ามีผลแทรกซ้อนหรือไม่
หมอผึ้ง บอกอีกว่า ลักษณะการขย้อนหรืออาเจียนที่เกิดขึ้นที่เกิดจากยาซึมหรือยาสลบจะมีผลข้างเคียงอยู่แล้ว และจะพบได้บ่อยมากในหลายหลายกลุ่มของตัวยา และการอาเจียนนี่คือตัวสำคัญในการเตรียมงดน้ำงดอาหาร หากไม่งดน้ำหรืออาหารจะมีอาการเกิดขึ้น 80 ถึง 90% หากไม่มีการเตรียมตัวอาจจะมีการไหลย้อนไปลงที่ปอดได้ และเป็นสิ่งที่เรากังวลที่สุดในการวางยาสลบ เพราะหากเกิดอาการดังกล่าวขึ้น ทางการแพทย์จะเรียกว่าเป็นภาวะปอดติดเชื้อ ปอดอักเสบซึ่งเป็นภาวะที่รักษาได้ยาก ในกรณีที่จำเป็นที่ต้องใช้ยายาสลบกับสุนัขและแมวหลักๆ คือการทำการหัตถการ หรือการเย็บแผลหรือการตรวจวินิจฉัย เช่น การส่องกล้องต่างๆ เราจะทำในขณะที่สัตว์ตื่นไม่ได้เลย และที่จะต้องเจอบ่อยคือการผ่าตัดทำหมัน หรือให้เลือด จำเป็นจะต้องใช้ยาซึมยาสลบ และยากลุ่มที่นิยมใช้คือยาซึมในแมว เราจะพบว่าผลจากวางยาคือน้องแมวจะมีอัตราการเต้นของหัวใจลดลง อุณหภูมิลดลง และมีอาการอาเจียนได้ซึ่งเป็นอาการที่พบบ่อยๆ
ยาสลบกับยาซึมในบางตัวบางกลุ่มมีการแยกกันอย่างชัดเจน แต่ยังบางตัวสามารถนำยาซึมมาเพิ่มโดสให้เป็นยาสลบได้ บางกรณีจะมีการให้ยาซึมไปก่อนที่จะแทงน้ำเกลือได้ และโกนขนหรือก่อนที่จะนำไปขึ้นบนโต๊ะผ่าตัดก่อนจะสอดท่อและให้ยาสลบ แต่บางแห่งจะใช้ยาสลบผ่านทางเส้นเลือด ซึ่งหลังการวางยาสลบจะต้องมีการตรวจการเต้นของหัวใจ อุณหภูมิ ความดัน ซึ่งหากยามีมากเกินไปจะเกิดปัญหาได้ มีโอกาสทำให้หมาและแมวเสียชีวิตได้
หมอผึ้ง ยังบอกอีกว่า "การนำสัตว์เข้ามาฉากในโฆษณาหรือภาพยนตร์ ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มสัตว์ที่ถูกฝึกมาแล้ว แต่ถ้าพูดแบบคนไม่มีความรู้ทางด้านโปรดักชัน การจะใช้ภาพบางฉาก เช่น สัตว์นอนตายก็จะน่าใช้ เอฟเฟกต์เข้ามาใช้น่าจะเหมาะกว่า ซึ่งถ้าเกิดทำเทคนิคได้ดีคนดูจะรับได้ มันยังดีกว่าจะทำให้มีข้อสงสัยว่าจะทำให้สัตว์เกิดอันตรายหรือได้รับบาดเจ็บ ซึ่งคนดูเลือกที่จะดูแบบนั้นมากกว่าและสัตวแพทย์จะมีการเรียนอยู่ในส่วนของคำว่าสวัสดิภาพของสัตว์อย่างละเอียด แต่คนทั่วไปอยากจะให้มองว่าสัตว์เลี้ยง เช่น หมาแมวจะเป็นเหมือนคนคนหนึ่ง อะไรก็ตามที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นอันตรายต่อชีวิตของสัตว์หรือแม้จะทำให้ทำให้สัตว์ได้รับบาดเจ็บระหว่างถ่ายคนดูจะรับไม่ได้ เรามองว่าหากใช้ตัวเองเป็นมาตรฐานว่าถ้ามองว่าเราเป็นคนถ้าเราถูกกระทำให้ได้รับบาดเจ็บหรือเกิดอันตราย เราจะรู้สึกไม่โอเคกับสิ่งนั้นเช่นกัน"