เชียงใหม่ - ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 นำแถลงจับกุมหนุ่มลำปางก่อเหตุวิ่งราวทองกลางห้างดัง ยอมรับสารภาพสาเหตุเพราะตกงานมานานกว่า 1 เดือน และถูกแฟนคอยต่อว่าเรื่องไม่มีเงินใช้ รวมทั้งต้องการหาเงินใช้หนี้ ทำกดดันหนักจนคิดสั้นตัดสินใจก่อเหตุ แต่สุดท้ายจนมุมเพราะกล้องวงจรปิดทั่วเมืองและ จนท.ทุกหน่วยร่วมมือกัน
วันนี้ (6 พ.ย. 67) ที่สถานีตำรวจภูธรภูพิงคราชนิเวศน์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมตัว นายณัฐพล แสนมั่งมูล อายุ 33 ปี ชาวจังหวัดลำปาง ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุวิ่งราวสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท จากร้านขายทองในห้างเซ็นทรัล แอร์พอร์ต เชียงใหม่ วานนี้ ซึ่งถูกแจ้งข้อหาวิ่งราวทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ พร้อมของกลางชุดเสื้อผ้าที่ใช้ก่อเหตุ, รถยนต์โตโยต้า วีออส สีบรอนซ์เงิน, เงินสดกว่า 38,000 บาท และสร้อยคอทองคำ ที่ตำรวจตามไปยึดคืนมาได้จากร้านทองที่ผู้ต้องหานำไปขาย
การจับกุมครั้งนี้ทางชุดสืบสวนได้รับแจ้งเกิดเหตุวิ่งราวทอง จึงสืบสวนจากกล้องวงจรปิด ซึ่งพบคนร้ายได้ขับรถยนต์หลบหนีไปตามเส้นทางออกจากห้างไปจอดในมหาวิทยาลัย เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ใช้ก่อเหตุเอาทิ้งถังขยะและนั่งรถเอาทองที่ชิงได้ไปขายที่ร้านทองกลางเมืองเชียงใหม่ ก่อนขับรถไปเพื่อหลบหนี แต่เจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมตัวได้ ซึ่งเบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าเดิมทำงานติดตั้งระบบกรองน้ำ แต่เพิ่งตกงานและไม่มีงานทำมานานกว่า 1 เดือน ทำให้ไม่มีเงินใช้จ่าย และถูกแฟนต่อว่าเรื่องที่ไม่มีเงินจนรู้สึกกดดัน ประกอบกับมีหนี้สินส่วนตัวอีกไม่กี่พันบาท จึงตัดสินใจก่อเหตุและหวังทองคำน้ำหนักเพียง 1 บาทเท่านั้นเพื่อจะเอาไปขายใช้หนี้และเก็บไว้ใช้ระหว่างหางาน โดยไม่คาดคิดว่าจะถูกจับ ซึ่งก่อนหน้าวันเกิดเหตุ ทางผู้ต้องหาได้ไปที่ร้านทองร้านเดียวกันมาแล้วครั้งหนึ่ง โดยตั้งใจจะไปก่อเหตุแต่เปลี่ยนใจ หลังจากนั้นกลับไปวางแผนใหม่แล้วมาก่อเหตุในวันต่อมา ซึ่งมีภาพจากกล้องวงจรปิดของร้านทองจับภาพไว้ได้อย่างชัดเจน
ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เผยว่าคดีนี้ไม่ได้ซับซ้อนเหมือนคดีชิงทองสะเทือนขวัญที่ผ่านมา ผู้ต้องหาไม่ได้วางแผนซับซ้อนมากนัก อีกทั้งยังได้ชื่นชมความร่วมมือของหลายหน่วยงานที่ร่วมกันป้องกัน และแก้ไขปัญหาอาชญากรรมของจังหวัดเชียงใหม่ จนสามารถจับกุมคนร้ายคลี่คลายคดีต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งคดีนี้ ซึ่งพบว่านอกจากกล้องวงจรปิดทั้งของตำรวจจราจร, เทศบาลนครเชียงใหม่ และภาคเอกชน เป็นหลักฐานชั้นยอดในการแกะรอยคนร้าย นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือของทั้งตำรวจสืบสวน ตำรวจจราจร เจ้าหน้าที่เทศบาลรวมทั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่คนร้ายขับรถที่ใช้ก่อเหตุซึ่งมีการแกะป้ายทะเบียนออก ขับเข้าไปในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก่อนที่จะเข้าไปติดป้ายทะเบียนแล้วขับออกมา แต่กล้องวงจรปิดสามารถจับพิรุธได้ จึงเป็นที่มาของการแกะรอยเชื่อมต่อไปจนสามารถจับกุมตัวได้โดยใช้เวลาเพียง 5 ชั่วโมงหลังจากที่ก่อเหตุ ซึ่งอยากย้ำไปกลุ่มกลุ่มมิจฉาชีพที่คิดจะเข้ามาก่อเหตุในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ว่าให้ล้มเลิกความตั้งใจไปเสีย เพราะหากเข้ามาก่อเหตุในจังหวัดเชียงใหม่จะไม่มีทางรอดพ้นการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างแน่นอน