เชียงราย - เอกชน 3 สถาบันทั้งหอการค้า-สภาอุตฯ-สมาคมธนาคารฯ 4 จังหวัดกลุ่มภาคเหนือตอนบน 2 ออกสมุดปกขาว จ่อชง ครม.สัญจรเชียงใหม่-เชียงราย ปลายเดือนนี้ถึงต้นธันวาฯ ดันแผนเปลี่ยนพันธุ์-พฤติกรรมปลูกข้าว หนุนเกษตรอินทรีย์ จี้ลดภาษี ลดค่าน้ำค่าไฟ-น้ำมัน เชื่อทำเงินหมุนเวียนปีละ 300,000 ล้าน
นายหัสนัย แก้วกุล ประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) และประธานหอการค้ากลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 นายอภิพันธ์ ภู่ภักดี ประธานสภาอุตสาหกรรมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (เชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน) นายอติณัฐ พฤฒิพงศ์พิสุทธิ์ กรรมการสมาคมธนาคารไทยกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ได้ร่วมประชุมกันที่ จ.เชียงราย
เพื่อจัดทำข้อเสนอเป็น "สมุดปกขาว" เสนอต่อที่ประชุม ครม.สัญจรเชียงใหม่ และเชียงราย ช่วงปลายเดือน พ.ย.-ต้นเดือน ธ.ค. 2567 นี้ ดำเนินการโดยเฉพาะประเด็นเรื่องการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจหลังเหตุน้ำท่วมใหญ่ในภาคเหนือที่ผ่านมา
นายหัสนัยกล่าวว่า พื้นที่ 4 จังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ประสบภัยน้ำท่วมใหญ่ปลายปี 2567 แม้จะมีการฟื้นฟูแต่ก็ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน โดยเฉพาะเกษตรกร พืชผลทางการเกษตรจมน้ำ ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคเอกชนในที่สุดเพราะเกษตรกรถือเป็นลูกค้าหลักและเป็นสายป่านสำคัญของภาคธุรกิจเอกชน
กกร.จึงจัดประชุมเพื่อจัดทำ "สมุดปกขาว" นำเสนอต่อที่ประชุม ครม.สัญจร สะท้อนถึงผลกระทบจากแง่มุมของเอกชนที่ได้รับข้อมูลจากภาคประชาชนโดยตรง เนื้อหาหลักๆ คือ การฟื้นฟูภาคการเกษตรโดยเฉพาะการปลูกข้าวซึ่งตามปกติเกษตรกรจะปลูกข้าวพันธุ์เดิมๆ เช่น หอมมะลิ กข.6 ฯลฯ ที่ต้องเก็บเกี่ยวช่วงเดียวหรือหลังเดือนสิงหาคม-กันยายน ซึ่งจะถูกน้ำท่วมเสียหายหมด
ดังนั้นจึงขอให้ภาครัฐสนับสนุนการปลูกข้าวและพันธุ์ข้าวที่เติบโตเร็ว แต่มีคุณภาพดีและให้ผลผลิตมาก คือ ข้าวพันธุ์ปทุม 1 ปทุม 2 ฯลฯ ที่ใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือนก็เก็บเกี่ยวได้ คือ เก็บเกี่ยวได้ในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม ทำให้ไม่ถูกน้ำท่วม และทำให้สามารถปลูกได้ปีละถึง 2 ครั้ง รวมทั้งส่งเสริมนาข้าวอินทรีย์ ราคาก็จะสูงกว่าพันธุ์เดิมๆ โดยขอให้ดำเนินการในฤดูปี 2568 เป็นต้นไป
“หากทำสำเร็จจะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจภาคเหนือได้เป็นอย่างดี ฟื้นฟูเกษตรกรเพราะมีรายได้มากขึ้นกว่าการปลูกปีละแค่ครั้งเดียว ผลผลิตก็สูงมากกว่า 600 กิโลกรัมต่อไร่ จากพันธุ์เดิมๆ ที่ได้เพียง 470 กิโลกรัมต่อไร่”
ด้านนายคงศักดิ์ ธรานิศร เลขาธิการ กกร.กลุ่มจังหวัดภาคเหนือบน 2 กล่าวว่าข้อมูลเมื่อ 5 ปีก่อน ภาคเหนือตอนบน 2 มีพื้นที่ปลูกข้าว 2.3 ล้านไร่ ให้ผลผลิตทั้งนาปีและนาปรัง ประมาณ 1.3 ล้านตัน หากพัฒนาการปลูกด้วยการเปลี่ยนพันธุ์ข้าวดังกล่าวและใช้เกษตรอินทรีย์ ก็จะทำให้เศรษฐกิจการเกษตรขับเคลื่อนได้อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ การส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ผ่านการรับรองของกรมวิชาเกษตร ยังสามารถพัฒนาในพืชชนิดอื่นได้ อาทิ กาแฟ เพราะตลาดปัจจุบันต้องการสินค้าเกษตรอินทรีย์สูง เนื่องจากคนกลัวสารเคมี โดยมีตัวอย่างการประกาศว่าองุ่นไชน์มัสแคทมีสารเคมีตกค้าง เป็นต้น
“ถ้ากิจกรรมทางเศรษฐกิจการเกษตรมีการพัฒนาและเกิดเงินหมุนเวียนราวๆ 3 แสนล้านบาทต่อปีก็จะทำให้เศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้นอย่างแน่นอน”
นอกจากกรณีส่งเสริมให้เปลี่ยนการปลูกพันธุ์ข้าวดังกล่าวแล้ว สมุดปกขาว กกร.กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ยังเสนอให้ภาครัฐส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยการจัดกิจกรรมงานเทศกาลต่างๆ เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวเป็นประจำทุกเดือน, ให้ยกเว้นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงภาษีป้ายเป็นเวลา 2 ปี บรรเทาภาระของประชาชนเพราะภาษีมีผลกระทบอย่างมากโดยเฉพาช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย และขอให้ลดค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา ราคาน้ำมัน เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายของประชาชน
ทั้งนี้ กกร.ยืนยันว่าเนื้อหาของสมุดปกขาวมาจากข้อมูลจากภาคประชาชนที่เชื่อมกับภาคเอกชนอย่างแท้จริง และเมื่อนำเสนอแล้วก็จะตั้งคณะทำงานติดตามผลเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไปด้วย