นครพนม - ทนายตั้มสับขาหลอกเปลี่ยนรถหลบสื่อ กลัวถูกสัมภาษณ์ ด้านฝ่ายโจทก์ นายศุภชัย โพธิ์สุ “สหายแสง” และพวกที่ฟ้องหมิ่นฯ ทนายตั้มเรียกค่าเสียหาย 30 ล้าน ยืนยันจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุดแม้ทนายตั้มจะขอไกล่เกลี่ยยอมความแล้วก็ตาม ต้องการปกป้องศักดิ์ศรีของตนและครอบครัวที่ถูกนำไปกล่าวพาดพิงจนเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ศาลนัดฟังคำพิพากษา 18 ก.พ. 68
เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ (31 ต.ค.) ที่ศาลจังหวัดนครพนม นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ได้เดินทางมาที่ศาล จ.นครพนมเพื่อขึ้นเบิกความในฐานะจำเลย ในคดีหมายเลขดำที่ อ.1316/2566 โดยศาลได้นัดสืบพยานจำเลย ระหว่างนายธนบวร สิริคุณากรกุลที่ 1 นายศุภชัย โพธิ์สุ ที่ 2 และนางสาวศุภพานี โพธิ์สุ ที่ 3 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นางสาวช่อฉัตร หรือช่อ โตชูวงศ์ ที่ 1 กับนายษิทรา หรือตั้ม เบี้ยบังเกิด ที่ 2 เป็นจำเลย ในข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา พร้อมเรียกค่าเสียหาย 30 ล้านบาท
โดยคดีนี้ นายศุภชัย พร้อมพวก เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายษิทรา และ น.ส.ช่อฉัตร นักธุรกิจน้ำยางพารา ในข้อหาความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา โดยคำฟ้องระบุพฤติกรรมสรุปว่าจำเลยทั้งสองแถลงข่าวที่มีเนื้อหาเป็นเท็จและสร้างความเสียหายให้แก่โจทก์ทั้ง 3 ซึ่งมีผลทำให้โจทก์ทั้ง 3 เสื่อมเสียชื่อเสียง อีกทั้งยังทำให้เกิดความเสียหายในเรื่องอื่นๆ อีกหลายเรื่อง
ในคำขอท้ายฟ้อง โจทก์ทั้ง 3 ขอให้ศาลลงโทษจำเลยตามมาตรา 328 พร้อมได้เรียกร้องค่าเสียหายจำนวน 30 ล้านบาท โดยในระหว่างไต่สวนมูลฟ้องจำเลยได้ขอเจรจาไกล่เกลี่ย แต่โจทก์ทั้ง 3 มีความต้องการที่จะปกป้องศักดิ์ศรีและชื่อเสียงของตนเป็นสำคัญจึงไม่ยอมความ ซึ่งศาลประทับรับฟ้องเมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2567 และนัดสอบคำให้การจำเลยในวันที่ 10 มิ.ย. 2567 ที่ผ่านมา
ซึ่งในวันนี้มีเพียงฝ่ายจำเลยเท่านั้นที่เดินทางมาขึ้นศาลเพราะก่อนหน้านี้ศาลได้นัดสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นไปแล้ว ขณะที่ รศ.ธนบวร โจทก์ที่ 1 เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า ยังมีอีกหลายคดีที่ตนเป็นผู้เสียหายและได้ดำเนินคดีต่อนายษิทรา และ น.ส.ช่อฉัตร โดยตนเองต้องการให้ทั้งคู่ยอมรับในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นกติกาของสังคมที่ทุกคนต้องยอมรับ ไม่มีใครเป็นอภิสิทธิชนที่อยู่เหนือกฎหมาย
ทางด้านทนายตั้ม ก่อนหน้านี้ได้ท้าสหายแสง หรือนายศุภชัย โพธิ์สุ ให้ฟ้องศาลได้เลยตนไม่กลัว พร้อมลั่นไม่มีวันขอโทษ
ขณะที่นายศุภชัย โพธิ์สุ วันนี้ไม่ได้เดินทางมาขึ้นศาล ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวทางโทรศัพท์ว่า คดีนี้ตนต้องการทำเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของตนและครอบครัวที่ถูกนำไปกล่าวพาดพิงจนเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ไม่ว่าจะเป็นการที่จำเลยไปกล่าวอ้างว่าโจทก์ที่ 1 เป็นภรรยากับลูกสาวของตน ทั้งๆ ที่โจทก์ที่ 1 มีภรรยาอยู่แล้ว ทำให้ลูกสาวตนได้รับความเสียหาย การที่จำเลยแถลงข่าวต่อสาธารณชนในประเด็นที่ไม่มีมูลความจริงทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวง
“พวกเราจึงต้องลุกขึ้นมาปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเอง ซึ่งที่ผ่านมาในชั้นพิจารณาของศาลทางจำเลยขอเจรจายอมความมาตลอด แต่พวกเราไม่ยอม โดยจะต้องทำคดีนี้ให้ถึงที่สุดเพื่อเป็นการปกป้องชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของตนเอง”
มีรายงานว่าทนายตั้มได้เดินทางมาที่ จ.นครพนมตั้งแต่เมื่อวานนี้ 30 ต.ค. 67 และวันนี้ศาลจังหวัดนครพนมได้นัดสืบพยานจำเลยหลังจากที่ได้สืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นไปแล้ว โดยศาลได้นัดขึ้นที่ บัลลังก์ 1 ชั้น 2 ทนายตั้มเดินทางมาด้วยรถยนต์กระบะ 4 ประตูถึงศาลจังหวัดนครพนมในช่วงเช้าโดยหลบขึ้นประตูข้างและขึ้นทางประตูด้านหลังศาลก่อนเวลา 10.00 น. โดยหลอกให้ผู้สื่อข่าวไปรอเก้อที่สนามบินนครพนม ซึ่งมีการปล่อยข่าวว่าทนายตั้มจะเดินทางมาด้วยเที่ยวบินช่วงเช้า แต่เมื่อถึงเวลากลับไร้เงาทนายตั้มที่สนามบิน
ทันทีที่ทนายตั้มพบหน้าผู้สื่อข่าวที่หน้าบัลลังก์ 1 ทนายตั้มกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “พวกคุณไปรอผมที่บันไดทางขึ้นหน้าศาล ผมเสร็จเที่ยง” แล้วขอตัวเข้าห้องพิจารณาคดีทันที
อย่างไรก็ตาม หลังจากเสร็จสิ้นการขึ้นให้การในศาล ทนายตั้มและพวกก็แอบหลบหนีผู้สื่อข่าวที่ดักรอสัมภาษณ์อยู่บริเวณทางออก โดยปลอมตัวปะปนไปกับชาวบ้านที่เดินทางมาขึ้นศาล จนสามารถหลุดรอดจากสายตาของผู้สื่อข่าวนับสิบสำนักที่มารอทำข่าว และรีบหลบออกจากศาลไปได้ โดยไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ แก่นักข่าว
มีรายงานเพิ่มเติมแจ้งว่า ศาลจังหวัดนครพนมได้นัดฟังคำพิพากษาคดีดังกล่าวในวันที่ 18 ก.พ. 2567 เวลา 09.00 น. เหตุที่นัดฟังคำตัดสินช้าเนื่องจากต้องส่งสำนวนให้อธิบดีผู้พิพากษาภาคตรวจก่อน