บุรีรัมย์- ตำรวจ สภ.นางรอง บุรีรัมย์ ออกหมายเรียกครูสาวแสบหลอกเพื่อนใช้ชื่อซื้อดาวน์ จยย.มาสอบปากคำและรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว แต่ยังไม่มาพบพนักงานสอบสวน ด้านสามีครูโต้ผู้ร้องสมัครใจใช้ชื่อดาวน์รถเองเพราะอยากได้ค่าตอบแทน เตรียมแจ้งความกลับ ขณะผู้เสียหายจุดธูปสาบานไม่เคยได้เงินตอบแทนได้แค่ค่าน้ำมันรถกลับบ้าน 100 บาท ยันยอมใช้ชื่อออกรถให้เพราะเชื่อใจ
จากกรณีที่นางสาวปราณี อายุ 43 ปี ชาว ต.บ้านสิงห์ อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ นำเอกสารหลักฐานเข้าร้องขอความเป็นธรรมและขอความช่วยเหลือที่ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอนางรอง โดยอ้างว่าถูก น.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ 41 ปี ข้าราชการครูคนหนึ่งที่คบหาเป็นเพื่อนสนิทกันมากว่า 1 ปี หลอกใช้ชื่อซื้อดาวน์รถจักรยานยนต์ให้ เนื่องจากชื่อครูติดแบล็กลิสต์ไม่สามารถใช้ชื่อตัวเองดาวน์รถได้ ทั้งบอกว่าไม่มีรถขับไปสอนหนังสือ ด้วยความที่สงสารเพื่อนและเห็นว่าเป็นถึงข้าราชการครู ทั้งรู้จักทั้งกับสามีและแม่ของครูคนดังกล่าวด้วย จึงเชื่อใจยอมใช้ชื่อตัวเองซื้อดาวน์รถจักรยานยนต์ให้ตามที่เขาขอร้อง เมื่อช่วงประมาณเดือน มิ.ย.65
โดยวันที่ไปซื้อดาวน์รถในตัวเมืองบุรีรัมย์สามีครูเป็นคนจ่ายเงินดาวน์เอง 5,500 บาท ซึ่งตามสัญญาเช่าซื้อรถคันดังกล่าวต้องผ่อนชำระทั้งหมด 60 งวด ๆละ 2,759 บาท รวมต้องจ่ายทั้งต้นและดอกเบี้ยเกือบ 160,000 บาท แต่หลังจากที่ซื้อดาวน์รถไปแล้ว น.ส.เอ เพื่อนที่เป็นครูก็เอารถ จยย.ไปใช้ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งที่ จ.สุรินทร์ แต่จ่ายค่างวดเพียงงวดแรกงวดเดียว หลังจากนั้นมีเอกสารจากไฟแนนซ์ส่งมาทวงถามว่าค้างค่างวด 5 งวด ตกใจพยายามติดต่อหาครูคนดังกล่าว บอกว่าจะรับผิดชอบหาเงินไปจ่ายเองแต่กลับไม่จ่ายนานกว่า 2 ปี สุดท้าย น.ส.ปราณี ถูกไฟแนนซ์ฟ้องฐานยักยอกทรัพย์ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันนี้ (30 ต.ค.67) ทางพนักงานสอบสวน สภ.นางรอง ได้ออกหมายเรียกครูสาวที่ถูกกล่าวหาเพื่อมาสอบปากคำและรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว แต่ครูที่ถูกกล่าวหายังไม่ได้มาพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก ซึ่งหากครูไม่มาจะออกหมายเรียกครั้งที่สอง แต่หากยังไม่มาอีกจะออกหมายจับตามขั้นตอนต่อไป
ขณะที่ทีมข่าวได้เดินทางไปยังบ้านของครูที่ถูกกล่าวหาอีกครั้ง เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงและให้ครูให้ชี้แจง แต่ไม่พบครูอยู่ที่บ้าน มีเพียงญาติพี่น้องอยู่แต่ไม่อนุญาตให้บันทึกภาพ เพียงแค่แจ้งว่าครูไปสอนหนังสือที่โรงเรียน จ.สุรินทร์ ซึ่งญาติพยายามติดต่อกับครูเพื่อให้นำรถมาคืนและมาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น แต่เมื่อทีมข่าวขอเบอร์โทรศัพท์เพื่อติดต่อสอบถามข้อมูลกับตัวครูเอง ทางญาติกลับบอกว่าไม่มีเบอร์ติดต่อและบอกว่าไม่สะดวกจะให้ข้อมูลอะไร ให้รอเขาเอารถจักรยานยนต์มาคืนก็พอ
ต่อมาทีมข่าวได้โทร.ติดต่อกับสามีของครูเพื่อให้ชี้แจงข้อมูลอีกด้าน โดยสามีครูชี้แจงว่าภรรยาและคู่กรณีไม่ได้เป็นเพื่อนกัน แค่รู้จักกันผิวเผินเนื่องจากคู่กรณีเคยมากินก๋วยเตี๋ยวมีที่ร้านแม่ยาย และรู้จักกันตนเองเพราะเคยซื้อสินค้ากับบริษัทที่ตัวเองเป็นเซลอยู่เท่านั้น ไม่ได้เป็นเพื่อนสนิทกันตามที่คู่กรณีให้ข้อมูล ส่วนเรื่องออกรถ จยย.ภรรยาไม่รู้เรื่องด้วยเป็นข้อตกลงระหว่างตนเองกับคู่กรณี
โดยคู่กรณีสมัครใจที่จะใช้ชื่อตัวเองดาวน์รถให้ เพราะต้องการเงินค่าตอบแทนหากทางบริษัทไม่ให้จ่ายค่าดาวน์ก็จะเอาเงินที่เตรียมไปจ่ายดาวน์ 5 พันบาทให้คู่กรณีไป แต่หากต้องจ่ายเงินดาวน์ไม่ถึง 5 พันที่เหลือก็จะให้คู่กรณีไปเพื่อตอบแทนที่ใช้ชื่อออกรถให้ หากจำไม่ผิดตนจ่ายเงินที่เหลือจากค่าดาวน์ให้ไป 2 พันบาท
หลังจากนั้นเขาก็มาถามเอาเงินจากตนเรื่อยๆ ครั้งละ 200-300 บาท รวมๆ แล้วน่าจะประมาณ 7-8 พันบาทแล้วที่ได้เงินจากเขาไป ทั้งยังบอกว่าเขาจ่ายค่างวดไป 5 งวดแล้วไม่ใช่งวดเดียวตามที่คู่กรณีอ้าง ส่วนที่ค้างกว่า 2 ปีเขาก็ติดต่อกับไฟแนนซ์ไปแล้วว่าจะคืนรถวันที่ 18 พ.ย.นี้ และเตรียมแจ้งความกลับคู่กรณีฐานให้ข้อมูลเท็จด้วย
จากนั้นทีมข่าวจึงได้เดินทางไปสอบถาม น.ส.ปราณี อีกรอบ ซึ่ง น.ส.ปราณี ถึงกับจุดธูปสาบานกับศาลพระภูมิที่บ้านว่า สิ่งที่ให้ข้อมูลกับสื่อหรือร้องเรียนศูนย์ดำรงธรรมเป็นความจริงทุกอย่าง ทั้งยืนยันว่าเป็นเพื่อนกับครูจริง และที่ออกรถให้เพราะครูขอร้องว่าไม่มีรถขับไปสอนหนังสือ ก็สงสารและเขารับปากจะรับผิดชอบค่าดาวน์และค่างวดเอง จึงเชื่อใจยอมใช้ชื่อดาวน์รถให้ ที่สำคัญยืนยันว่าไม่เคยได้รับค่าตอบแทนในการใช้ชื่อดาวน์รถตามที่สามีครูกล่าวอ้าง ได้แค่ค่าน้ำมันรถเติมขับกลับบ้าน 100 บาทเท่านั้น
ส่วนที่สามีครูบอกว่าส่งงวดไป 5 งวดนั้น หากจ่ายจริงทำไมในใบเสร็จและเอกสารที่ไฟแนนซ์มีหลักฐานการชำระแค่งวดเดียว รู้สึกเสียใจมากที่ไว้ใจยอมใช้ชื่อดาวน์รถให้ จนถูกไฟแนนซ์ฟ้องยักยอกทรัพย์แล้ว เขายังบอกจะแจ้งความกลับตนเองอีก และที่เขารับปากจะคืนรถให้ไฟแนนซ์ 18 พ.ย. และรับผิดชอบส่วนต่างที่ค้างอีกกว่า 9 หมื่นก็ขอให้ทำจริงๆ หากจะแจ้งความหรือฟ้องก็ว่ากันไปตามพยานหลักฐาน แต่ตนยืนยันว่าพูดความจริง