อุทัยธานี - เผยน้ำป่าถล่มบ้านไร่ อุทัยธานี หนักสุดรอบ 60 กว่าปี ชาวบ้านเผยตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเจอเป็นครั้งแรก ขณะที่นายก อบต.-ผญบ.ระบุไม่มีสัญญาณเตือนภัย ได้แต่อาศัยคนต้นน้ำแจ้งผ่านไลน์กลุ่มอำเภอ แต่น้ำมาไวไม่ทันตั้งตัว จนบ้านเรือน ทรัพย์สิน พื้นที่การเกษตร พังยับ แถมกระแสน้ำซัดสะพานเชื่อม 9 หมู่บ้านขาดสะบั้นซ้ำ
วันนี้ (20 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจ สะพานบ้านนาทุ่งเชือก ต.ห้วยแห้ง อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี ซึ่งเป็นสะพานหลักที่ใช้สัญจรระหว่างหมู่บ้านในตำบลรวม 9 หมู่บ้าน แต่ถูกมวลน้ำป่าซัดขาดจนทำให้ชาวบ้านสัญจรผ่านไม่ได้
ล่าสุด นายญวน ปานาง นายก อบต.ห้วยแห้ง พร้อมด้วย นายสุภาพ ธรรมลิยา ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 ตำบลห้วยแห้ง ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายเพื่อให้ความช่วยเหลือชาวบ้านในพื้นที่อย่างเร่งด่วน ซึ่งพบว่านอกจากสะพานข้ามหมู่บ้านขาดแล้ว ยังมีบ้านเรือนของชาวบ้านที่อยู่ติดริมฝั่งลำห้วยกระเสียว เสี่ยงที่จะพังถล่มลงมา เนื่องจากน้ำที่กัดเซาะชายฝั่งไปจนเกือบถึงตัวบ้านแล้ว รวมทั้งมีพื้นที่การเกษตรและการประมงต่างได้รับความเสียหายด้วยเช่นกัน
นายญวน นายก อบต.ห้วยแห้ง เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ได้รับแจ้งจากพื้นที่ว่าเวลาประมาณ 16.00 น.เกิดฝนตกหนักในพื้นที่ตำบลห้วยแห้ง อ.บ้านไร่ เป็นเวลานานกว่า 2-3 ชั่วโมง จากนั้นก็มีน้ำป่าจากเทือกเขาห้วยขาแข้งไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่บ้านเรือนประชาชนในหลายหมู่บ้าน
โดยเฉพาะหมู่ 4, 7, 8 และ 9 ซึ่งตอนนี้ สะพานบ้านนาทุ่งเชือก พื้นที่หมู่ 4 ได้รับความเสียหายจากเศษไม้และขยะที่ไหลมาติดที่คอสะพาน ก่อนที่กระแสน้ำจะเซาะสะพานขาดสะบั้น ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถสัญจรไปมาได้ ต้องอ้อมเป็นระยะทางไกลกว่า 10 กิโลเมตร ทางผู้ใหญ่บ้านได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ปภ. และ อบจ.อุทัยธานี เพื่อเร่งเข้าช่วยเหลือนำเครื่องจักรมาเคลียร์เศษขยะออกจากสะพานโดยเร็วที่สุด
นายสุภาพ ธรรมลิยา อายุ 54 ปี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 ตำบลห้วยแห้ง เปิดเผยว่า หากยังไม่ได้สะพานชั่วคราวจากทางภาครัฐก็จะต้องทำสะพานไม้เพื่อสัญจรไปมาชั่วคราวกันไปก่อน นอกจากนี้ยังมีบ่อปลาที่ติดกับห้วยได้รับความเสียหายหมด เพราะน้ำมาแบบไม่ทันตั้งตัว ตอนนี้เดือดร้อน พืชเกษตรอย่างมันสำปะหลังก็เน่าเสีย 100% เรียกได้ว่าผลกระทบหนักมาก
“เป็นครั้งแรกที่บ้านไร่ถูกน้ำป่าท่วมหนักขนาดนี้ เหตุเกิดขึ้นในคืนเดียว แค่ 3-4 ชั่วโมง เราวัดปริมาณน้ำฝนได้ประมาณ 130 มิลลิเมตร ลำห้วยรับน้ำไม่ไหว ตอนนี้เราไม่มีสัญญานเตือนภัย จะมีแค่การประสานงานจากกลุ่มไลน์อำเภอ คนที่อยู่ต้นน้ำก็ช่วยกันเฝ้าระวังเตือนภัย แต่สุดท้ายก็เอาไม่ทัน เพราะน้ำมาไวมาก” นายสุภาพกล่าว
หนึ่งในชาวบ้านในพื้นที่เปิดเผยว่า ตั้งแต่จำความได้จนอายุ 63 ปี ถือเป็นน้ำป่าครั้งแรกที่สร้างความเสียหายได้หนักขนาดนี้