เพชรบูรณ์ - วิพากษ์วิจารณ์กันกระฉ่อนโซเชียลฯ..ครูศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก พื้นที่ “บึงสามพัน เพชรบูรณ์” ลืมเด็ก 2 ขวบเศษไว้ในรถตั้งแต่เช้า-เย็น 7 ชั่วโมง จนหมดสติตาเหลือกค้าง-ตัวเหลือง โชคยังดีหมอช่วยไว้ทัน แต่ยังมีอาการข้างเคียง ขณะที่นายกเทศมนตรีฯ-ครูจ่ายเงินแก้ปัญหา 15,000 บาท/รับเข้าทำงานเทศบาลฯ แลกเซ็นไม่เรียกร้อง
ขณะนี้ผู้คนในสังคมออนไลน์ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง หลังมีการโพสต์รูปภาพเด็ก 2 ขวบ พร้อมข้อความผ่านเพจข่าวท้องถิ่นเพชรบูรณ์ ว่า..ลูกเพจแจ้งมา ครูเทศบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบูรณ์ลืมเด็ก 2 ขวบไว้ในรถตู้ตั้งแต่เช้าถึงบ่ายสาม เด็กมีอาการหมดสติ ตาค้าง ตัวเหลือง โชคยังดีหมอช่วยไว้ทัน
..แต่เรื่องเหมือนจะจบเมื่อทางนายกเทศมนตรีฯ รวบรวมเงินสด 1 หมื่นบาท ครูเวร 5 พัน มาให้ พร้อมเสนอจะรับพ่อแม่เด็กเข้าทำงานในเทศบาลเพื่อเป็นการเยียวยา โดยให้พ่อแม่เด็กเซ็นสัญญา 1-2-3-4 ว่าหลังจากเซ็นแล้ว ห้ามพ่อแม่เด็กเรียกร้องสิทธิอะไรอีก แต่พ่อแม่เด็กไม่เช็น #ใช้งบหลวงเยียวยาแบบนี้ก็ได้เหรอ..
ซึ่งมีการแสดงความคิดเห็นกันหลากหลาย เช่น “นายกเทศฯ คิดง่าย คิดตื้นเกิน คิดจะ เยียวยาแต่แฝงไปด้วยเหลี่ยม, น่าสงสารมากเลยลูก, เอาให้ถึงที่สุด ลูกหลานใครใครก็รัก, ยังมีอีกเนาะครูที่สะเพร่าแบบนี้ ข่าวเขาก็ออกบ่อย หน้าที่คือตรวจเช็กเด็กก่อนลงรถทุกครั้ง ทำไม ทำไปได้, นายกเทศฯ ใช้อำนาจอย่างนี้รึครับ, ถ้าเด็กคนนั้นเป็นลูกหลานท่านล่ะจะเป็นยังไง, แบบนี้เขาเรียกบังคับรึป่าว ทุเรศจังค่ะ, ทำไมถึงลืมได้ค่ะครู, แบบนี้ก็ได้เน๊าะคนทั้งคน พ่อแม่อุตส่าห์ไว้ใจ ให้ครูดูแลเหมือนแม่คนที่ 2 เด็กติดอยู่ตั้งแต่เช้ายันโรงเรียนเลิก สมองเด็กยังปกติอยู่รึเปล่าก็ไม่รู้ อากาศก็ร้อน, เอาเรื่องให้หนัก โดยเฉพาะครูที่ไร้ความรับผิดชอบในหน้าที่, ทำงานกันสะเพร่าแม่งเป็นทุกองค์กร เป็นกู กูไม่ยอมหรอก"
จากการตรวจสอบต่อมาทราบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งเด็กคนดังกล่าวอายุเพียง 2 ขวบ 7 เดือน เป็นเด็กนักเรียนศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของเทศบาลแห่งหนึ่งใน อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์
เมื่อผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังบ้านของเด็กคนดังกล่าว ซึ่งอยู่ใน อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ พบว่าทางครอบครัวยังอยู่ในภาวะวิตกกังวลเกี่ยวกับอาการ-ผลข้างเคียงที่จะตามมาของน้องนาเดียร์ เพราะหลังจากเกิดเหตุ และออกจากโรงพยาบาล ผิวหนังที่มือเท้าลอก จากที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และมีอาการผวาไม่อยากไปโรงเรียน ชุดนักเรียนก็ไม่ยอมใส่ แค่เห็นหน้าโรงเรียนก็ร้องไห้ ทุกวันนี้ทางครอบครัวจึงตัดสินใจไม่ให้ไปโรงเรียน และช่วยกันดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อดูอาการอยู่ที่บ้าน
พ่อของน้องนาเดียร์ คือนายทนงค์ เล่าว่า ทันทีที่ทราบข่าวลูกสาวติดอยู่ในรถตู้ ตนทั้งตกใจและใจหายมาก เคยเห็นแต่ในข่าว ไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะมาเกิดกับลูกสาวของตน จึงอยากให้ทางเทศบาลฯ มารับผิดชอบเยียวยาให้มันสมเหตุสมผลมากกว่านี้
และในส่วนของการรักษา อยากให้มาดูแลรับผิดชอบจนกว่าทางครอบครัวมั่นใจว่าจะไม่มีอาการข้างเคียงใดๆ เกี่ยวกับสมอง เพราะน้องติดอยู่ในรถตู้นานถึง 7 ชั่วโมง เช้าถึงเย็น ซึ่งเงิน 10,000 บาท ที่ทางเทศบาลใส่ซองมาให้ ตนมองว่าน้อยเกินไปสำหรับชีวิตลูกสาวของตน เพราะที่บ้านก็ไม่ค่อยมีเงิน ถ้าวันข้างหน้าน้องเกิดเป็นอะไรขึ้นมาตนก็คงไม่มีเงินพาน้องไปรักษา จึงอยากให้ทางเทศบาลเข้ามาดูแลเรื่องค่าเยียวยาให้สมเหตุสมผลมากกว่านี้
ด้านนางสาวสุจิรารัตน์ แม่ของน้องนาเดียร์ เล่าว่า ในวันดังกล่าวทางครูที่โรงเรียนโทร.มาบอกว่าน้องนาเดียร์เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย ซึ่งตนไม่คิดว่าครูจะลืมลูกสาวของตนไว้ในรถตู้ตั้งแต่เช้า ถึงบ่ายสามโรงเรียนเลิก และวันนั้นอากาศก็ร้อนด้วย ตอนนั้นใจร่วงไปถึงตาตุ่ม จึงรีบขี่รถไปหาลูกที่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาล ก็เห็นสภาพลูกนอนนิ่ง ตาค้าง แล้วใจตกมาก คิดในใจว่าลูกคงไม่รอดแล้ว กลัวไม่ได้ลูกคืนมา แต่โชคดีที่ลูกฟื้นขึ้นมาไม่ถึงเสียชีวิต
“ครูเวร ในวันดังกล่าวบอกว่านับน้องลงจากรถตู้แล้ว ครบ 13 คน และขึ้นไปเช็กบนรถแล้วไม่มีใครอยู่บนรถตู้แล้ว ซึ่งฉันไม่คิดว่าครูจะลืมลูกสาวของฉันไว้บนรถตู้จนถึงบ่าย 3 โมง คนขับรถตู้มาพบว่าน้องนาเดียร์นอนคว่ำหน้าอยู่ที่พื้นรถแถวที่สอง สภาพตาเหลือกค้าง จึงรีบแจ้งครูและนำส่งโรงพยาบาล และโทร.แจ้งฉัน”
สำหรับการเยียวยาทางเทศบาลฯ ให้เงินสดมา 10,000 บาท และให้ตนไปทำงานในกองการศึกษาในเทศบาล ส่วนทางครูเวร ออกค่าห้องพิเศษให้ 2,000 บาท ค่าขนมน้อง 500 และวันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมาให้เพิ่ม 5,000 บาท และถามตนว่าโอเคไหม แต่ตนยังไม่ตอบ
และทางครูเวรก็นำหนังสือสัญญามาให้ตนเซ็นว่า ตนได้รับเงินเยียวยา 15,000 บาท ค่าห้องพิเศษ 2,000 บาท โดยข้อ 4 ระบุว่า “ในการทำสัญญาฉบับนี้ ผู้รับสัญญาได้รับเงินช่วยเหลือตามข้อ ๑ ข้อ ๒ และข้อ ๓ เรียบร้อยแล้ว และผู้รับสัญญาสละสิทธิและไม่ติดใจเรียกร้องเงินหรือค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนอื่นใดจากความเสียหายต่อร่างกาย หรือค่าเสียหายในลักษณะเดียวกันนี้จากผู้ให้สัญญาอีก รวมทั้งไม่ติดใจดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญากับผู้ให้สัญญาผู้ช่วยเหลือจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย”
แต่ตนไม่เซ็น และบอกไปทางครูเวรว่าขอเพิ่มเงินเยียวยาอีก 33,000 ให้ครบ 50,000 บาท เพราะตนมองว่ามันน้อยไปสำหรับชีวิตลูกสาวเรา แต่เรื่องก็เงียบไป เมื่อวานตนโทร.ถามก็บอกว่ายังไม่ว่างคุยกับทางนายกเทศมนตรี
ส่วนเรื่องงานที่เสนอมา ตนก็ตัดสินใจไม่ไปทำ อยากขอเป็นเงินก้อนไว้รักษาลูกสาวดีกว่า เผื่อวันข้างหน้าลูกเกิดป่วยเป็นอะไรขึ้นมา จะได้มีเงินรักษา และตนมองว่า ถ้าตนขอเพิ่มทั้งเงิน และไปทำงานด้วย ก็เหมือนว่ามันมากไป และถ้าไปทำงานก็เหมือนว่าตนเข้าไปทำงานแบบไม่ถูกต้อง ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าในอนาคตจะมีผลอย่างไรกับตนหรือไม่ จึงตัดสินใจไม่ไปทำงาน ไปแค่วันแรกวันเดียว แล้วก็ไม่ไปอีกเลย
“ในใจอยากเรียกร้องเงินเยียวยา 50,000 บาท หรือถ้าเป็นไปได้ 100,000 บาท แต่ก็เกรงใจ ไม่รู้จะได้ไหมอย่างไร เพราะตอนนี้เหมือนเรื่องก็เงียบไปเลย ยังไม่มีใครเข้ามาคุย”