อุบลราชธานี-เพลิงไหม้บ้านคุณยายวัย 81 ปี อยู่กับสุนัข 2 ตัว นานกว่า 2 ชั่วโมง หนีออกมาไม่ได้ ทำให้เสียชีวิตคากองไฟ ส่วนสาเหตุรอเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานลงความเห็นที่ชัดเจนอีกครั้ง
มีรายงานแจ้งว่า เมื่อเวลา 21.40 น.คืนที่ผ่านมา(12 ก.ย.) พ.ต.ท.เฉลิมยศ พรมสุวรรณ สารวัตรสอบสวน สภ.เมืองอุบลราชธานี รับแจ้งเพลิงไหม้บ้านพักอาศัยเลขที่ 2 ในซอยชยางกูร 12.3 ถนนชยางกูร ต.ในเมือง อ.เมืองอุบลราชธานี โดยมีหญิงชราติดอยู่ในบ้าน ยังไม่สามารถออกมาได้ จึงพร้อมรถดับเพลิงเทศบาลนครอุบลราชธานี องค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานี พล.ต.ต.ประสงค์ เรืองเดช ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี นางสาวพิศทยา ไชยสงคราม นายกเทศมนตรีนครอุบลราชธานี รุดอำนวยการดับไฟ
โดยที่เกิดเหตุเป็นบ้านไม้ 2 ชั้นยกสูง เพลิงโหมลุกไหม้บ้านทั้งหลัง จนกลายเป็นทะเลเพลิงขนาดใหญ่ ทำให้การสกัดเพลิงค่อนข้างลำบาก จึงต้องขอรถน้ำจากเทศบาลเมืองแจระแม เทศบาลตำบลอุบล และทีมดับเพลิงจากหน่วยกู้ภัยศิษย์พระจี้กง กู้ภัยจีตัมเกาะเข้าสนับสนุน จนเวลาผ่านไปราว 2 ชั่วโมง ก็สามารถควบคุมเพลิงให้สงบลงได้
เมื่อทีมกู้ภัยและเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเข้ารื้อค้นซากเพลิงไหม้ ก็พบร่างของนางวิชัย หรือยายติ๋ว ศักดิ์ซึ้งตระกูล 81 ปี ถูกไฟไหม้ร่างไปกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ และยังพบร่างของสุนัขที่คุณยายติ๋วเลี้ยงไว้จำนวน 2 ตัวเสียชีวิตคากองเพลิงด้วย
จากการสอบถามนายปรมัตถ์ หน่อพุทโธ อายุ 32 ปี ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า บ้านหลังที่เกิดเหตุมีคุณยายอยู่กับลูกชาย และสุนัข 2 ตัว ตอนเกิดเหตุตนนอนอยู่ในหอพักตรงข้าม ได้ยินเสียงคล้ายไฟช็อต 2-3 ครั้ง จึงออกมาดู พบว่าเพลิงกำลังไหม้บ้านของยายติ๋ว ตอนนั้นเพลิงได้ลุกโหมแรงมาก ตนจึงได้โทรแจ้ง 191 เพื่อขอความช่วยเหลือ
ด้านนายสัญชัย ศักดิ์ซึ้งตระกูล อายุ 55ปี ลูกชายนางวิชัย บอกว่าปกติบ้านหลังนี้จะมีตนและคุณแม่อยุ่กัน 2 คน กับสุนัขที่คุณแม่เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนอีก 2 ตัว ส่วนตนเองก็จะออกไปทำงานกลับบ้าน 3-4 ทุ่มเกือบทุกวัน บางวันก็ไปนอนพักบ้านภรรยาที่อำเภอเดชอุดม ส่วนวันนี้ ขณะยังทำงานอยู่ มีเพื่อนบ้านโทรไปบอกว่า มีไฟไหม้บ้าน จึงรีบกลับมาก็ปรากฏเพลิงได้เผาบ้านและคุณแม่กับสุนัขเสียชีวิตไปแล้ว
ส่วนสาเหตุการณ์เกิดเพลิงไหม้ไม่ชัดเจน แต่คุณแม่ชอบทำอาหารให้กับสุนัขที่เลี้ยงไว้ ตนพยายามห้ามหลายครั้ง แต่คุณแม่ก็ไม่ทำตาม เพราะท่านเป็นอัลไซเมอร์ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ยังไม่สรุปสาเหตุของเพลิงไหม้ เพราะต้องรอให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้ามาเก็บรายละเอียดการเกิดเพลิงไหม้ที่ชัดเจนอีกครั้ง
