เชียงราย - ปลัดกระทรวงมหาดไทยลงพื้นที่น้ำท่วมเชียงราย-แม่สาย ชี้ครั้งนี้หนักสุดในรอบ 80 ปี ทั้งมวลน้ำมาก-พนังกั้นพัง น้ำทะลักเข้าซอยแคบที่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่อง-อาคารพาณิชย์ จนไหลเชี่ยวกราก แม้แต่เรือยังล่ม-รถยีเอ็มซีของกองทัพยังเข้าไม่ได้ หวังฝนซา-ไร้พายุลูกใหม่ วิกฤตคลี่คลายใน 5 วัน
วันนี้ (11 ก.ย.) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์น้ำท่วมชายแดนไทย-เมียนมา อ.แม่สาย จ.เชียงราย ซึ่งมีการบรรยายสรุปจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง-ภาคประชาชน ว่าปีนี้น้ำเข้าท่วมพื้นที่ชายแดนแม่สายเป็นรอบที่ 8 แล้ว และครั้งล่าสุดนี้ถือว่าหนักที่สุดในรอบ 80 ปี ส่งผลให้ได้รับความเดือดร้อนเป็นบริเวณกว้าง
ขณะนี้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายทั้งฝ่ายปกครอง ตำรวจ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ประสานทุกกองทัพทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ส่งเครื่องมือช่วยเหลือเข้าพื้นที่ประสบภัยเป็นจำนวนมาก แต่ยังคงมีปัญหาหลักคือ กระแสน้ำที่ยังไหลเชี่ยวกราก ทำให้ประชาชนที่ติดค้างอยู่ตามอาคารต่างๆ ยังคงยากลำบาก
แต่ผู้ที่ติดอยู่ตามอาคารบ้านเรือนสามารถออกจากจุดน้ำท่วมกว่า 80% และเข้าพักอยู่ที่วัดพรหมวิหาร อ.แม่สาย ซึ่งเจ้าอาวาสวัดอนุญาตให้เป็นสถานที่พักพิงกว่า 100 คนแล้ว รวมทั้งมีโรงแรม รีสอร์ต ฯลฯ หลายแห่งเปิดให้เป็นศูนย์พักพิงหรือไปอยู่กับญาติอีกประมาณ 800 คน แต่ตัวเลขที่ชัดเจนจะได้ตรวจสอบที่แท้จริงอีกครั้งหนึ่ง
นายสุทธิพงษ์กล่าวว่า เจ้าหน้าที่จะทยอยเคลื่อนย้ายผู้ที่ติดอยู่ให้ออกมาจากจุดน้ำท่วมเรื่อยๆ แต่ที่เป็นปัญหาหนักกรณีผู้ป่วยติดเตียงและอื่นๆ ทำให้ยังคงพยายามกันอยู่ โดยมีการส่งเครื่องไม้เครื่องมือลงไปยังพื้นที่เรื่อยๆ ขณะที่ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ก็เดินทางมาประชุมหารือด้วยตัวเอง มีทหารทุกเหล่าทัพเข้าช่วยในทุกเรื่องรวมไปถึงเรื่องเสนารักษ์และสุขภาพจิตด้วย
ส่วนเรื่องอาหารและน้ำดื่มมีการจัดเตรียมปรุงสำเร็จไว้เป็นจำนวนมากแล้วโดยอาสากู้ภัยต่างๆ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ก็พยายามนำเข้าไปจัดส่งให้ประชาชนอยู่
“คาดหวังว่าสถานการณ์จะคลี่คลายเพราะน้ำได้เริ่มลดลงแล้วและมีฝนตกลงมาน้อยกว่าทุกวัน หากไม่มีพายุลูกใหม่เข้ามา คาดว่าภายใน 5 วันน่าจะคลี่คลายและจะได้ช่วยกันทำความสะอาดครั้งใหญ่ สำรวจความเสียหาย เยียวยากันต่อไป”
ปลัดกระทรวงมหาดไทยยืนยันว่าระบบเตือนภัยนั้นได้ผล ซึ่งตนได้สอบถามพี่น้องประชาชนที่วัดพรหมวิหารก็ทราบว่ามีเจ้าหน้าที่ไปแจ้งเตือนแล้วว่าให้โยกย้ายออกจากพื้นที่ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเกิดน้ำท่วมมาแล้ว 7 ครั้งจึงเกิดความคุ้นเคยว่าจะลดลงอย่างรวดเร็ว แต่ปรากฏว่าครั้งนี้ปริมาณน้ำมีมากและพนังกั้นน้ำพัง ทำให้น้ำทะลักไปรวมกันภายในช่องแคบที่เป็นซอยประกอบด้วยอาคารพาณิชย์ ตึก บ้านเรือน ฯลฯ ร้อยละ 95% ที่สร้างกลายเป็นพนังกำแพงส่งผลให้กระแสน้ำแรงมากสุดในรอบ 80 ปีดังกล่าว
"ปัญหาอุปสรรคจากการประชุมประเมินผลตั้งแต่เมื่อวาน (10 ก.ย.) จนถึงวันนี้พบว่ากระแสน้ำยังแรงมาก เครื่องไม้เครื่องมือที่มีคือเรือท้องแบน เรือยาง รถยีเอ็มซี ซึ่งกรณีรถยีเอ็มซีของกองทัพเข้าได้เฉพาะหมู่บ้านปิยะพร อีก 4 จุดรถเข้าไม่ได้เลย ทั้งสายลมจอย หัวฝาย ฯลฯ ถึงวันนี้ก็ยังเข้าไม่ถึง อย่างลุงที่ติดอยู่บนหลังคาเต็นท์สีแดงเจ็ตสกีของกรมเจ้าท่า ทหาร ปภ.สู้ไม่ไหวถึงขนาดเรือล่มเลย โชคดีที่มูลนิธิกัน จอมพลัง ประสานกับเจ็ตสกีโลกเข้าไปช่วยออกมาได้ นี่เล่าเป็นตัวอย่างว่าทุกคนอยากเข้าไปช่วย แต่การช่วยนั้นคนที่จะเข้าไปช่วยอาจไม่ปลอดภัย เช่น เรือล่ม ฯลฯ แต่ก็ต้องกราบขออภัยด้วย"
นายสุทธิพงษ์กล่าวอีกว่า ขณะนี้ทหารได้นำเฮลิคอปเตอร์จำนวน 3 ลำ บินตรวจตราสนับสนุน ซึ่งก็ทำได้จำกัดเพราะบางช่วงอากาศปิด แต่ก็จะมีทหารเป็นกำลังหลักในการพาหน่วยงานองค์กรต่างๆ หน่วยกู้ภัย เข้าไปช่วยเหลือประชาชนเป็นจุดๆ ไป โดยผู้บัญชาการทหารสูงสุดก็ใช้ความรู้ทางยุทธการวางแผนปฏิบัติการให้มีประสิทธิภาพ
ด้านทหาร ฉก.ทัพเจ้าตาก กองกำลังผาเมือง ได้จัดกำลังพลชุดปฏิบัติการบรรเทาสาธารณภัยนำอาหารน้ำดื่มไปส่งให้ประชาชนที่ยังอยู่ในบ้าน และอพยพผู้ประสบภัยในพื้นที่ ต.แม่สาย และ ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย อย่างต่อเนื่อง โดยยังวางกำลังอย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะปกติ ทั้งนี้ วันเดียวกันยังเกิดดินโคลนถล่มทับเส้นทางบริเวณบ้านผาหมี ต.เวียงพางคำ อีกด้วย