ลพบุรี - ฆ่าปาดคอสาวสวยชาวกัมพูชาวัย 30 คาห้องพัก น้องสาวกลับจากทำงานเปิดห้องถึงกับผงะ คนร้ายไม่แตะต้องทรัพย์สิน ที่หอพักใกล้บริษัทบีฟู้ด ต.ช่องสาริกา อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี
วันนี้ (2 ก.ย.) พ.ต.ท.สันต์ภพ พลเรือง สารวัตรสืบสวนสอบสวน สภ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี พร้อมด้วย พ.ต.อ.ชยชัย นาธนกาณจน์ ผกก.สภ.พัฒนานิคม พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน และอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญูตรวจสอบที่เกิดเหตุ ที่ห้องพักหมายเลข 11 หอพักใกล้บริษัทบีฟู้ด หมู่ที่ 5 ต.ช่องสาริกา อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี ซึ่งเป็นห้องเช่าชั้นเดียว เจ้าที่หน้าเข้าทำการตรวจสอบภายในห้อง พบศพหญิงสภาพศพนอนคว่ำหน้า ใส่เสื้อสีแดง กางเกงสีดำ
ตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า ที่ลำคอมีรอยถูกขอมีคมบาดเลือดไหลเต็มห้อง ทราบชื่อต่อมาคือ น.ส.มาบ เสือน อายุ 30 ปี เป็นชาวกัมพูชา เป็นผู้เช่าห้องพักที่เกิดเหตุดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมด้วยแพทย์เวร รพ.พัฒนานิคม และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานตำรวจภูธร จ.ลพบุรี ทำการตรวจสอบที่เกิดเหตุ โดยข้างศพพบหม้อข้าวไฟฟ้าวางอยู่ และมีแต่ตะกร้าผ้า และพบเงินสด 4 พันบาท พร้อมสร้อยคอทองคำหนักประมาณ 1 บาท วางอยู่ที่โต๊ะ
นอกจากนั้น ในห้องยังมีสิ่งของกระจุยกระจายซึ่งคาดว่ามีการต่อสู้กันก่อนที่ผู้เสียชีวิตจะถูกของมีคมปาดที่คอ และแทงที่ลำตัวอีกหลายแผลจนเสียชีวิต และที่พื้นห้องพบรอยเท้าเปล่า และรองเท้า ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นของคนร้าย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงทำการตรวจสอบถ่ายภาพเก็บไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งคาดว่าผู้ก่อเหตุน่าจะมี 2 คน และไม่ประสงค์ต่อทรัพย์ อาจจะเข้าเพื่อก่อเหตุทางล่วงละเมิดทางเพศกับผู้ตาย แต่มีการขัดขืนจึงถูกฆ่าตายดังกล่าว
เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสอบสวนเบื้องต้น ทราบว่าผู้ที่พบศพเป็นน้องสาวผู้ตาย ชื่อ น.ส.ชรัยโอน เสือน ทำงานอยู่ที่บริษัทบีฟู้ด ได้กลับจากการทำงานกะกลางคืน กลับมาห้องพักเห็นประตูเปิดอยู่จึงเปิดประตูเข้าไป ภาพที่เห็นถึงกับเข่าทรุด พบว่าพี่สาวถูกฆ่าตาย ซึ่งตนกับพี่สาวที่เสียชีวิต และพี่ชายอีกคน เช่าห้องที่เกิดเหตุอยู่ด้วยกัน แต่พี่ชายตอนนี้กลับกัมพูชาไปแล้ว ตนกับพี่สาวจึงอยู่ด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม สาเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่สามารถฟันธงได้ แต่จากการสืบทราบว่าผู้ตายเป็นหญิงสาวหน้าตาดีมีผู้มาติดพันหลายคน คาดว่าคนร้ายที่ลงมือฆ่าอาจจะเป็นคนที่รู้จักและเข้ามาที่ห้องเพื่อประสงค์ในเรื่องของเพศแต่หญิงสาวขัดขืนจึงใช้ของมีคมปาดคอหญิงสาวจนเสียชีวิตดังกล่าว ตำรวจได้ให้อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญูนำศพส่งไปแผนกนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรมเพื่อทำการตรวจสอบอีกครั้ง