พิษณุโลก - ถึงขั้นทิ้งขยะลงแม่น้ำน่าน ประจานพิษณุโลกล้มเหลว..หลังผู้บริหารระดับจังหวัดฯ-อปท.แก้ปัญหาบ่อขยะไม่บรรลุ จนต้องปิดบ่อทั้งเมือง-สั่งใช้ประโยชน์จากขยะ 100%-ส่งคนเฝ้า/ติดป้ายติดกล้องห้ามทิ้งที่สาธารณะ ชาวบ้านบางรายกลับทิ้งลงน้ำปล่อยไหลจากเมืองสองแควเข้าพิจิตร-นครสวรรค์ ลงเจ้าพระยา
ผู้ใช้ติ๊กต็อกชื่อบัญชี “velvet.flower55” ได้โพสต์คลิปเหตุการณ์บุคคลปริศนานำถุงขยะเป็นสิบๆ ถุงแอบทิ้งลงคลองชลประทานพื้นที่ใกล้เคียงมหาวิทยาลัยนเรศวร ต.ท่าโพธิ์ อ.เมืองพิษณุโลก ซึ่งตอนแรกผู้โพสต์คิดว่าเป็นชาวบ้านนำฝูงวัว แพะ แกะ มาลงเล่นน้ำ พร้อมตั้งคำถามขยะมาจากไหน ทำไมเอามาทิ้งลงน้ำแบบนี้ ถุงขยะลอยตามกระแสน้ำไปเรื่อยๆ เพราะพิษณุโลกไม่มีบริการเก็บขยะแล้ว จึงถึงขั้นไม่มีสามัญสำนึกแอบลักลอบนำขยะมาทิ้งลงคลองเชียวหรือ..!?
นอกจากนี้ยังมีผู้เข้าไปแสดงความคิดเห็นและเผยแพร่จนเป็นประเด็นร้อนฉ่าในสังคมออนไลน์พิษณุโลก เนื่องจากมีอีกหลายพื้นที่ในเขต อ.เมืองพิษณุโลก ที่มีผู้ลักลอบนำขยะทิ้งตามป่าหญ้าริมถนนหนทาง โดยไม่มีท่าทีว่าจะมีใครสามารถลงมาแก้ไขปัญหาให้ชาวบ้านได้เลย
จนเกิดอาชีพใหม่แล้ว คือ รับเก็บขยะถุงละ 50 บาท หากมีเยอะจะเหมาให้..ซึ่งคนที่ประกาศให้บริการยืนยันว่ามีที่กำจัดอยู่กลางนาในที่ดินของตนเอง ล่าสุดก็มีคนสนใจบ้างแล้ว ขณะที่ทนายความชื่อดังรายหนึ่งโพสต์ลงในเพจดัง พิษณุโลกบ้านเรา "ขยะไม่มีที่ทิ้ง แนะนำให้ไปทิ้งหน้าศาลากลาง เทศบาลทุกแห่ง อบจ. อบต."
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัญหาดังกล่าวทำให้คนพิษณุโลกเดือดร้อนกันมากขึ้นทุกขณะ เนื่องจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิษณุโลก 33 แห่งกำลังประสบปัญหาไม่สามารถจัดเก็บขยะมูลฝอยในเขตชุมชนของตนเองได้ หลังมีชาวบ้าน 200 คนที่เดือดร้อนคัดค้านจนต้องปิดบ่อขยะของเอกชน ต.หัวรอ และ ต.ปากโทก อ.เมืองพิษณุโลก เพื่อทำการปรับปรุง และยังไม่มีกำหนดเปิด ทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ ถูกชาวบ้านโจมตีว่า ทำไม! ไม่เก็บ
ขณะที่นายศุภกรณ์ กิตยาธิคุณ ส.ส.เขต 5 พิษณุโลก อภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรเมื่อเร็วๆ นี้ว่า จังหวัดพิษณุโลกประสบปัญหาขยะล้นเมือง เคยมีบ่อขยะกระจาย 27 แห่ง ถูกปิดไป 19 แห่ง ไม่ถูกต้องตามหลักสุขาภิบาล 6 แห่ง มีถูกต้องเพียงแห่งเดียวคือบ่อขยะเอกชน ซึ่งถูกประกาศปิดบ่อเมื่อ 24 สิงหาคม 67
ซึ่งทำให้ 27 อปท.หยุดเก็บขยะ ทำให้ขยะล้นเมือง บางรายหอบไปทิ้งในเขตเทศบาลนครพิษณุโลก อบต.บางแห่งหนีไปทิ้งนครสวรรค์ บางแห่งซุกทิ้งอยู่ในชุมชนแบบผิดหลักอนามัย บางแห่งบอกให้ใช้ประโยชน์จากขยะ 100% ทีมงานพรรคประชาชนมีข้อเสนอต่อกรรมาธิการทหาร ขอที่ดินรกร้างของทหาร พื้นที่ห่างไกลชุมชนไว้เป็นที่บริหารจัดการกำจัดขยะ แต่เรื่องเงียบ ยังไม่ดำเนินการ จึงฝากไปยังรัฐมนตรีมหาดไทย, สาธารณสุข ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ปัญหาดังกล่าวชาวพิษณุโลกถูกบีบเค้น เนื่องจากไม่มีที่ทิ้งขยะ ห้ามทิ้งผิดที่ (ขยะจร) ห้ามเผา แม้จุดทิ้งขยะตลาดสดร่วมใจ (ในเขตเทศบาลนครพิษณุโลก) ที่เป็นสถานที่ทิ้งขยะสาธารณะ ยังมีคนของรัฐเฝ้า กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสื่อโซเชียล ขณะที่ อบต.บึงพระลงทุนทำป้าย ห้ามทิ้งขยะตลอดแนวถนน มีกล้องวงจรปิด ฝ่าฝืนปรับ 2,000 บาท จนชาวบ้านชาวช่องทั่วไปไม่มีทางออก
เมื่อถามว่า ภาครัฐ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก หรือนายก อบจ.พิษณุโลก กำลังทำอะไรอยู่!?..มีรายงานว่า 28 สิงหาคม 67 ที่ผ่านมา นายภูสิต สมจิตต์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก, นายทรงพล วิชัยขัทคะ รองผู้ว่าฯ พล. ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้ง 32 แห่ง, มหาวิทยาลัยนเรศวร ประชุมร่วมที่ศาลาการเปรียญวัดบ่อทองคำ ต.หัวรอ อ.เมือง เจรจาหาทางออกปัญหาสถานที่กำจัดขยะมูลฝอย โดยมีชาวบ้านหมู่ 2, 7 ตำบลปากโทก และหมู่ 11 ตำบลหัวรอ รวมกว่า 200 คน (ค้านปัญหามลภาวะต่างๆ)
ที่ประชุมได้ข้อสรุปมาตรการการแก้ไข 5 ข้อ คือ
1. ให้นำหลักการพิษณุโลกเมืองใช้ประโยชน์จากขยะ มาใช้อย่างเข้มข้น
2. ให้ อปท.ที่มีบ่อขยะเก่าปรับปรุงบ่อขยะ ให้เป็นไปตามสุขาภิบาล โดยรายงานผลการปรับปรุงให้คณะกรรมการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยจังหวัดพิษณุโลกทราบภายใน 7 วัน
3. ให้เทศบาลนครพิษณุโลกขอความเห็นชอบในการนำขยะไปดำเนินการกำจัดขยะ-ใช้สถานที่ (ขนถ่าย) ที่ตำบลท่าทอง อำเภอเมืองพิษณุโลก-ใช้แหล่งกำจัดขยะ ที่ตำบลบึงกอก อำเภอบางระกำ
4. เห็นชอบให้ อปท.ทั้ง 33 แห่ง ที่ไม่สามารถทำการกำจัดขยะที่ตำบลปากโทกได้ ให้ขนขยะข้ามเขตเพื่อนำไปกำจัดที่สถานที่กำจัดขยะ ที่จังหวัดนครสวรรค์
5. ให้ อปท.ทุกแห่งกวดขันการทิ้งขยะในที่สาธารณะ หากพบให้ดำเนินการฯ อย่างเข้มงวด เพื่อให้เกิดความสะอาดและเป็นระเบียบในพื้นที่
อย่างไรก็ตาม ขณะที่ปัญหาขยะยังไร้ทางออกที่ยั่งยืน ชาวพิษณุโลกไม่มีที่ทิ้งขยะ ไม่สามารถล้างถุงแกง เก็บรวบรวมขยะไว้ที่บ้านได้ เพราะอีกไม่นานขยะจะล้นบ้าน หลายคนเลือกทิ้งลงสู่แม่น้ำไปพลาง เสมือนประจานความล้มเหลวของผู้บริหารพิษณุโลกทั้งหมด ล่าสุดมวลมหาขยะกำลังเดินทางถึงจังหวัดพิจิตรและนครสวรรค์ ก่อนไปบรรจบลุ่มน้ำเจ้าพระยาต่อไปแล้ว
