ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - นักเรียน ม.5 โรงเรียนมัธยมดังโคราชรุมกระทืบรุ่นน้อง ม.4 โรงเรียนพร้อมดูแลอย่างเต็มที่ และเร่งตรวจสอบหาข้อเท็จจริงก่อนดำเนินการลงโทษตามขั้นตอน ขณะที่ ตร.เชิญผู้ปกครองทั้งสองฝ่ายไปไกล่เกลี่ยเจรจา
กรณีนางสาวนาตยา อายุ 32 ปี แม่เลี้ยงเดี่ยว โพสต์ภาพและข้อความลงในสื่อโซเชียล ระบุว่า “ลูกของแม่เขาทำผิดอะไรทำไมพวกพี่ๆ ถึงใจร้ายกับลูกแม่แบบนี้ น้องมีความฝัน น้องกำลังเดินทางตามความฝันของน้อง น้องพูดบอกกับแม่เสมอว่า โรงเรียนนี้คือโรงเรียนที่น้องใฝ่ฝันที่จะเข้าเรียนตั้งแต่สมัย ม.1 แล้ว วันนี้หนูทำตามความฝันของตัวเองได้แล้วนะแม่ หนูสอบติดและผ่านการคัดเลือกให้เข้าชั้นเรียน ม.4 โควตานักกีฬาฟุตบอลครับแม่ แม่ภูมิใจในตัวหนูที่สุดเลยลูก ลูกเป็นเด็กดี พระเจ้าคุ้มครองลูกแม่ปลอดภัยแล้วนะ #ลูกแม่ทำผิดอะไรทำไมพี่ๆ ถึงทำร้ายลูกแม่บาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ #อุทาหรณ์ #ลูกแม่ต้องไม่เจ็บตัวฟรี” ซึ่งมีผู้แสดงความเห็นให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง
สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นช่วงพักเที่ยงวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา น้องสตางค์ อายุ 15 ปี ลูกชายของผู้โพสต์ เป็นนักเรียนชั้น ม.4 ของโรงเรียนมัธยมดังในจังหวัดนครราชสีมา ได้โควตาพิเศษห้องเรียนกีฬา และเป็นนักกีฬาฟุตบอล รุ่น U 18 ถูกนักเรียนรุ่นพี่ ม.5 โรงเรียนเดียวกัน รุมทำร้ายที่บริเวณห้องน้ำหลังโรงอาหารในโรงเรียน จนได้รับบาดเจ็บศีรษะปูดบวม สันจมูกและตามร่างกายมีรอยช้ำหลายแห่ง ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันนี้ (21 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์สอบถามความคืบหน้าไปทางโรงเรียนฯ ซึ่ง นายสุพล เชื่อมพงษ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ทางโรงเรียนไม่ได้นิ่งนอนใจต่อเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเหตุวิวาทที่เกิดขึ้นระหว่างนักเรียนด้วยกัน ตั้งแต่ทราบเหตุก็ให้ครูเข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด พานักเรียนรุ่นน้อง ม.4 ที่ได้รับบาดเจ็บส่งตรวจรักษาที่ รพ.เทพรัตน์นครราชสีมา ซึ่งทางผู้ปกครองยังรู้สึกกังวลใจต่ออาการบาดเจ็บของลูก จึงนำกลับไปตรวจซ้ำที่ รพ.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และนักเรียนที่บาดเจ็บได้กลับไปพักฟื้นที่บ้านแล้ว
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนข้อเท็จจริงว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งผู้ปกครองสงสัยสองกรณี ว่า อาจจะเกิดจากความขัดแย้งกันมาก่อนที่จะมาเรียนที่นี่ เพราะเดิมนักเรียนที่บาดเจ็บเคยเป็นนักกีฬาฟุตบอลของโรงเรียนสุรธรรมพิทักษ์มาก่อน จึงอาจจะเกิดกระทบกระทั่งกันมาก่อนหน้านี้แล้ว และอีกกรณีคือ เด็กที่บาดเจ็บอาจจะไปจีบน้องสาวของผู้ก่อเหตุ ซึ่งเด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เรียนอยู่ที่นี่ ทางผู้ปกครองและโรงเรียนจึงไม่แน่ใจว่าปมขัดแย้งเกิดจากสาเหตุอะไรกันแน่ แต่เท่าที่ทราบคือได้มีการนัดไปเคลียร์ใจกันในวันเกิดเหตุ แต่เคลียร์กันไม่ได้และถึงขั้นลงมือทำร้ายกัน
ทางโรงเรียนก็พยายามดูแลให้การช่วยเหลือนักเรียนที่ได้รับบาดเจ็บกันอย่างเต็มที่ และถ้ามีอะไรเพิ่มเติมทางโรงเรียนก็ยินดีรับผิดชอบ ส่วนรุ่นพี่ที่ก่อเหตุในเบื้องต้นสืบทราบมาว่าคนที่ลงมือจริงๆ มี 5 คน และอีกจำนวนหนึ่งน่าจะยืนดูเหตุการณ์ ซึ่งทางโรงเรียนได้ติดต่อประสานเชิญผู้ปกครองทั้งสองฝ่ายมาพูดคุยเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาร่วมกันว่าสามารถจะดำเนินการอย่างไรได้บ้าง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุขึ้นซ้ำ
นายสุพลกล่าวอีกว่า ทางโรงเรียนได้เชิญทั้งสองฝ่ายมาในวันนี้เพื่อให้ข้อมูลและหาแนวทางแก้ปัญหาร่วมกัน แต่เนื่องจากทางผู้ปกครองของนักเรียนที่บาดเจ็บได้ไปแจ้งความต่อตำรวจ สภ.โพธิ์กลางไว้แล้ว และพนักงานสอบสวนได้เรียกทั้งสองฝ่ายไปให้ปากคำในวันนี้ ทางโรงเรียนจึงต้องรอหลังจากนั้น แต่เรื่องการสืบหาข้อเท็จจริงภายในโรงเรียนกำลังดำเนินการไปด้วย เพราะจะต้องวางมาตรการทั้งในส่วนของผู้ที่ก่อเหตุและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุบานปลายออกไปอีกหรือเกิดเหตุขึ้นซ้ำ ต้องเรียกมาพูดคุยปรับพฤติกรรม และหามาตรการที่เหมาะสมมาดำเนินการ
เพราะทั้งสองฝ่ายเรียนที่เดียวกันเป็นลูกศิษย์ทั้งคู่ ส่วนขั้นตอนการลงโทษผู้กระทำผิด ก็ต้องเป็นไปตามระเบียบที่โรงเรียนกำหนดไว้ มีทั้งการหักคะแนน ว่ากล่าวตักเตือน ดูความประพฤติ และปรับพฤติกรรม เป็นต้น ซึ่งครูที่ปรึกษาก็ต้องดูแลนักเรียนให้เข้มข้นมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ สถานที่ภายในโรงเรียนที่เป็นจุดอับลับสายตา ก็ต้องเพิ่มกล้องวงจรปิด และเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจตราดูแล เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ปกครองและตัวนักเรียนเองด้วย ถ้าไม่ติดขัดเรื่องใด คาดว่าจะดำเนินการตรวจสอบและป้องกันแก้ไขให้แล้วเสร็จภายในสัปดาห์นี้”
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า พนักงานสอบสวน สภ.โพธิ์กลาง ได้เชิญผู้ปกครองทั้งสองฝ่ายมาไกล่เกลี่ยคดีที่เกิดขึ้น โดยมีเยาวชนผู้ก่อเหตุที่เป็นรุ่นพี่ ม.5 เดินทางมาให้ปากคำ จำนวน 8 คน ซึ่งผู้ปกครองของนักเรียน ม.4 ที่ได้รับบาดเจ็บ รวมทั้ง ตัวแทนผู้ปกครองนักเรียนที่ก่อเหตุ และผู้บริหารโรงเรียน ได้เข้าไปในห้องสอบสวนคดีเด็กและเยาวชน ชั้น 3 สภ.โพธิ์กลาง เพื่อพูดคุยไกล่เกลี่ยกันต่อหน้าพนักงานสอบสวน โดยห้ามผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไป เนื่องจากอยู่ในขั้นตอนการสอบสวนและเป็นคดีที่เกี่ยวกับเด็กและเยาวชน