ลำปาง - หนุ่มลำปางสุดทน..สาวใหญ่เมียเจ้าของอู่ชื่อดังขับวอลโว่พุ่งชนบ้านเสียหายกว่าแสนบาทบ่ายเบี่ยงไม่เจรจา พอเข้าแจ้งความ ตร.ไม่รับแจ้งซ้ำให้เป็นแค่พยานในคดีจราจร ต้องพึ่งบารมี ผกก.ถึงแจ้งความเอาผิด แต่ผ่านไปหนึ่งเดือนติดต่อคู่กรณีไม่ได้ จนโพสต์สื่อออนไลน์หาตัว สุดท้ายไม่จบ แถมสุดพีกตำรวจบอก กม.ใหม่ให้ไปฟ้องเอง
ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Opat Jumnong หรือโอ (ผู้เสียหาย) ได้เขียนข้อความผ่านกลุ่มสังคมออนไลน์ในลำปางว่า..ประกาศ ตามหาคนที่ทำประตูบ้านเสียหาย ให้มาชดใช้ค่าเสียหาย เหตุเกิดตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2567..พร้อมรูปภาพความเสียหายที่รถยนต์วอลโว่พุ่งชนทะลุเข้าไปคาอยู่กับตู้เย็นภายในบ้าน ประตูไม้โบราณบานเฟี้ยมสลักติดด้วยกระจกแบบซีทรูแตกเสียหาย รถจักรยานมุดอยู่ใต้ท้องรถยนต์ ฯลฯ ก่อนที่จะมีสมาชิกกลุ่มจะร่วมแสดงความคิดเห็นกันจำนวนมาก
ต่อมาผู้เสียหายผู้โพสต์ได้เขียนข้อความ เพิ่มเติมว่า “ข่าวล่าสุด เพื่อนๆ ช่วยสรุปให้หน่อยว่า ตกลงผมจะได้รับเงินเยียวยาค่าเสียหายไหมครับ เพราะผมอ่านแล้วไม่เข้าใจ งงครับ” พร้อมลงรูปความเสียหายและข้อความที่ผู้ก่อเหตุเขียนโพสต์ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า
“ไม่ได้หนีและไม่ได้ขับรถชนแต่รถไหลเองตอนที่ลงไปเก็บของ รับผิดทุกอย่างแต่ติดต่อไม่ได้พูดไม่รู้เรื่องและจะจ่ายตามจริง” ซึ่งหลังจากนั้นผู้เสียหายได้เข้าไปเขียนในคอมเมนต์ถามพร้อมหลักฐานที่คุยกัน แต่ฝ่ายผู้ก่อเหตุก็ไม่สามารถสรุปใดๆได้โดยอ้างให้คุยกับแฟนแทน
ผู้เสียหายได้เข้าปรึกษาทนายความ อัยการ ศาล และกลับเข้าไปที่ สภ.เมืองลำปางอีกครั้ง พร้อมโทรศัพท์สอบถาม ผกก.โดยตรงถึงกรณีที่ตนเองเป็นผู้เสียหายแต่แจ้งความไม่ได้ ซึ่ง ผกก.ยืนยันว่าสามารถแจ้งได้ด้วยตัวเอง จึงได้สั่งการให้ร้อยเวรดำเนินการให้ในวันนั้น ทำให้ผู้เสียหายได้เอกสารใบแจ้งความร้องทุกข์เพื่อนำไปใช้ในการดำเนินคดีผู้ก่อเหตุได้
และวันที่ 29 เม.ย.ผู้เสียหายได้ร้องเรียนผ่านผู้สื่อข่าวในเรื่องที่เกิดขึ้น เนื่องจากเห็นว่าน่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะแค่เรื่องอุบัติเหตุแค่นี้ทำไมต้องเสียเวลามากขนาดนี้ ทำไมการทำงานของเจ้าหน้าที่ต้องยืดเยื้อใช้เวลาเป็นเดือนๆ
ผู้เสียหายได้เล่าว่า ช่วงบ่ายของวันที่ 1 เมษายน ขณะที่ยังทำงานอยู่ (กทม.) เพื่อนบ้านได้โทรศัพท์ไปบอกว่ามีรถยนต์พุ่งเข้าชนประตูบ้านและรถคาอยู่ในบ้าน พร้อมกับถ่ายภาพสถานที่เกิดเหตุส่งให้ดู ด้วยความตกใจตนจึงโทร.แจ้ง 191 กทม.เพื่อให้ประสาน ตร.ลำปางเข้าไปดูที่เกิดเหตุ แต่กว่าที่ ตร.จะเข้าไปก็เกือบหกโมงเย็น และหลังเกิดเหตุตนทราบว่าผู้ก่อเหตุคือ น.ส.นภาพร ได้ไปลงบันทึกประจำวันไว้ว่าเป็นผู้กระทำความผิดจึงได้เบาใจ และได้จองตั๋วเครื่องบินกลับมาลำปางในเช้าวันที่ 2 เม.ย.ทันที
เมื่อมาถึงก็เห็นสภาพหน้าบ้านว่า..รถผู้ก่อเหตุได้นำออกไปแล้ว ที่ประตูมีการเลื่อนตู้เหล็กมาปิดและพยายามดันประตูที่เสียหายและแปะไว้ด้วยเทปกาว ตนจึงได้ประสานตามเบอร์โทร.ที่ผู้ก่อเหตุให้ไว้ เบื้องต้นผู้ก่อเหตุโดยสามีบอกว่าจะรับผิดชอบให้ทั้งหมดจะซ่อมให้เอง ตนก็ไม่ติดใจขอเพียงซ่อมให้กลับสู่สภาพเดิม
จากนั้นก็นัดมารื้อประตู ซึ่งผู้ก่อเหตุมาตอนเย็นพร้อมกับเด็ก 1 คน และจะรื้อประตูออกโดยใช้สแลนปิด โดยมียางรถยนต์ทับไว้ ซึ่งตนเองเห็นแล้วว่าไม่ดีแน่นอนเพราะบ้านอยู่ติดถนน เสาร์ อาทิตย์ยังมีถนนคนเดินมีความเสี่ยงมาก จึงไม่อนุญาตให้รื้อ ผู้เสียหายก็แจ้งว่า..จะหาช่างมาทำการซ่อมประตูเอง ตนก็ตกลง เมื่อช่างมาถึงดูสภาพประตูทั้งหมดแล้วบอกราคาคร่าวๆ ให้ตนเองทราบก่อนจะกลับไป
ต่อมาผู้ก่อเหตุแจ้งว่าช่างติดงานไม่สามารถมาทำได้ ให้ตนเองช่วยหาช่างให้ด้วย จึงตระเวนหาช่างมาดูตีราคาพร้อมมัดจำเงินค่าทำประตูไป 30,000 บาท และได้ไลน์บอก-พยายามสอบถามว่าตกลงจะชดใช้อย่างไร คำตอบในช่วงแรกบอกว่าจะขอผ่อนเป็นรายเดือน เดือนละ 1 หมื่นบาท พร้อมกับขอเริ่มหลังสงกรานต์ ตนก็ยอมและนัดให้ไปลงบันทึกต่อหน้าตำรวจ ที่ สภ.เมืองลำปาง แต่ผู้ก่อเหตุก็ผิดนัดและแจ้งมาว่า..ไม่ตกลง ไม่จบ แฟนไม่ตกลง จากนั้นก็ไม่ตอบใดๆ อีก
ระหว่างวันที่ 1-26 เม.ย.ตนได้ไปพบตำรวจเจ้าของคดี ซึ่งให้ตนไปเป็นพยาน และตนประสงค์จะแจ้งความในฐานะผู้เสียหายแต่ถูกปฏิเสธ อ้างว่าแจ้งไม่ได้ ด้วยความสงสัยจึงได้ไปสอบถามทนายความ ศาล และอัยการ ซึ่งทุกคนตอบว่าแจ้งได้ พร้อมกับเขียนข้อความที่จะต้องให้ตำรวจลงในเอกสารการแจ้งความแนบมาด้วย จึงได้ตัดสินใจไปแจ้งความอีกครั้ง และเมื่อไปถึงเห็นเบอร์โทร.ของ ผกก.จึงได้โทร สอบถามเรื่องดังกล่าว จน ผกก.สั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชารับแจ้งความในวันนั้น จนได้เอกสารใบแจ้งความร้องทุกข์กลับมา ซึ่งก็ใช้เวลา 1 เดือน จึงเห็นความผิดปกติในกระบวนการต่างๆ จึงขอความช่วยเหลือไปยังผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 29 เม.ย.
กระทั่ง 2 พ.ค. ผู้สื่อข่าวได้มีการนำเสนอเนื้อหาของผู้เสียหายบางส่วนในเพจข่าว จากนั้นไม่ถึงชั่วโมง พนักงานสอบสวนได้โทรศัพท์ถึงตนเองเพื่อขอให้เข้าไปเจรจาตกลงกันกับผู้ก่อเหตุที่ สภ.เมืองลำปาง แบบกะทันหัน ซึ่งตนขอเป็นช่วงบ่าย และเมื่อถึงเวลาไปเจรจา ปรากฏว่าฝ่ายผู้ก่อเหตุ คือ นางสาวนภาพร มาพร้อมกับสามีซึ่งเป็นเจ้าของร้านซ่อมรถยนต์ชื่อดังในลำปาง และญาติอีก 1 คน
โอ ผู้เสียหาย เล่าว่า วันนั้น ร.ต.อ.หญิง ทิพย์สุดา สุริยะ รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองลำปาง บอกว่าที่เชิญมาวันนี้เพราะต้องการให้มาไกล่เกลี่ยรอบสุดท้ายหากไกล่เกลี่ยไม่ได้ก็จะแจ้งความดำเนินคดี โดยเรื่องที่ต้องการให้ตกลงกันคือค่าเสียหาย ซึ่งตนเองได้เขียนรายละเอียดไว้ทั้งหมด ประกอบด้วย ประตูบ้านทั้งหมด รถจักรยาน ตู้เย็น รอยที่พื้นหินอ่อน รอยขูดที่ใต้ราวบันได ซึ่งต้องจ่ายตามจริง โดยเฉพาะประตูบ้านจะมีราคาแพงมาก เพราะเป็นไม้โบราณออกแบบเป็นบานเฟี้ยม ช่างได้รื้อทั้งประตู รางเลื่อน กระจกแตกทั้งหมด 20 บาน ต้องหาไม้ใหม่ที่เหมือนแบบเดิมมากที่สุดมาทำในส่วนที่แตกและร้าว ซึ่งเป็นงานละเอียด ใช้เวลาดำเนินการขั้นต่ำกว่า 1 เดือน ค่าแรงวันละ 700-800 บาทต่อคน ซึ่งขณะนี้ก็ยังทำไม่เสร็จ
หลังจากพูดคุยกันไประยะหนึ่ง สามีผู้ก่อเหตุก็เกิดหัวร้อนยืนขึ้นต่อว่าผู้เสียหายว่า..พูดไม่รู้เรื่อง เรียกร้องเกินจริง แล้วก็บอกว่า “กูลูกผู้ชายคำไหนคำนั้น” หลังฟังความเสียหายแล้วบอกไม่ยอมจ่าย บอกเยอะเกินไป ซึ่งสามีของนางสาวนภาพร อ้างว่าราคาสูงเกินจริง ทำไมต้องเปลี่ยนหมด ก็แตกหักไปแค่ 1-2 บานเท่านั้น ก็เฉลี่ยๆ กันไปโดยเสนอจ่ายเพียงบานละ 1,000 บาท ส่วนความเสียหายรถจักรยานก็ซ่อมมาแล้ว เมื่อผู้เสียหายแย้งว่าซ่อมมาแต่ไม่เหมือนเดิม จากล้อเหล็กที่เปลี่ยนมาเป็นอะลูมิเนียมและสภาพยังไม่เหมือนเดิม
..สามีของ น.ส.นภาพรถามว่าแล้วสามารถขี่ได้ไหม ผู้เสียหายจึงบอกว่าขี่ได้แต่ไม่เหมือนเดิม ตนต้องการให้กลับมาในสภาพเดิมให้มากที่สุด
ส่วนใต้ราวบันไดที่ถูกชน สามีของ น.ส.นภาพรเถียงว่าเกิดจากอุบัติเหตุครั้งนี้จริงหรือไม่ แต่ก็จนด้วยหลักฐานเมื่อรถยนต์ผู้ก่อเหตุชนทะลุจักรยานเข้าไปที่ใต้ราวบันได ขณะพื้นกระเบื้องที่โดนครูด ก็อ้างว่าแก้ไขง่ายไม่กี่ร้อยบาท จึงขอจ่ายรวมทั้งหมดนอกเหนือจากประตู เพียง 1,000 บาท ก่อนที่ตำรวจจะเชิญตัวสามีออกนอกห้องเพราะเกรงว่าจะตกลงกันไม่ได้
จากนั้นตำรวจได้โทรศัพท์ถึงช่างเพื่อให้พุดคุยกับผู้ก่อเหตุและสอบถามรายละเอียดโดยตรงว่ามีการซ่อมอะไรบ้างทำไมราคาถึงแพงเช่นนี้ ช่างได้แจ้งรายการทั้งหมดให้ฟังแล้วพร้อมแจ้งราคาคือ 120,000 บาท น.ส.นภาพรรับทราบและยอมรับตามนั้น พร้อมกับได้ยื่นข้อเสนอให้ผู้เสียหาย ค่าประตูขอจ่าย 120,000 บาท ส่วนค่าอื่นๆ ให้รวมกันทั้งหมดขอจ่ายเพิ่มอีก 1 หมื่นบาท รวมเป็น 130,000 บาท
แต่เมื่อถามว่าจะจ่ายอย่างไรแบบไหน น.ส.นภาพรบอกว่ายังไม่รู้ว่าจะจ่ายแบบไหน เพราะคนที่จ่ายเงินคือแฟน (สามี) พร้อมบอกอีกว่าตนไม่มีเงิน ส่วนแฟนตอนนี้รายได้ก็ใช้หมุนเวียนวันชนวันเท่านั้น จึงขอไปปรึกษาก่อน ทำให้ผู้เสียหายยื่นข้อเสนอสุดท้าย และจะไม่ต่อรองใดๆ อีกแล้ว เพราะเห็นว่าผู้ก่อเหตุไม่มีความจริงใจที่จะรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้น จึงขอเรียกค่าเสียหายรวมทั้งสิ้น 150,000 บาท เป็นเงินสดเท่านั้น
จากเดิมที่ได้แจ้งความให้ดำเนินคดีไว้พร้อมเรียกค่าเสียหายรวม 300,000 บาท ไปแล้วหลังจากที่ไม่สามารถติดต่อเจรจาได้ โดย ร.ต.อ.หญิง ทิพย์สุดา ขอยังไม่ดำเนินคดีในวันนี้ และขอเลื่อนทั้งสองฝ่ายไปอีก 1 นัด คือวันที่ 7 พ.ค. เวลา 14.00 น.
และเมื่อถึงเวลานัดหมาย (14.00 น. วันที่ 7 พ.ค.) นายโอภาส หรือโอ อายุ 53 ปี ได้เดินทางเข้าพบ ร.ต.อ.หญิง ทิพย์สุดา สุริยะ รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองลำปาง ตามนัด เพื่อติดตามความคืบหน้าและข้อสรุปหลังได้คุยกันล่าสุดเมื่อวันที่ 2 พ.ค. 67 แต่สุดท้ายผู้ก่อเหตุก็ปฏิเสธที่จะจ่ายค่าเสียหาย โดยให้ผู้เสียหายไปฟ้องเอง
ซึ่งตำรวจเจ้าของคดีได้ให้ผู้เสียหายกลับบอกเพียงว่า..ตำรวจจะฟ้องเองหากจะเป็นโจทก์ร่วมให้ไปยื่นหลังจากที่ตำรวจส่งสำนวนให้อัยการแล้ว และให้ผู้ก่อเหตุไปปั๊มมือทำประวัติ
แต่..พีกมากขึ้น เมื่อผู้เสียหายกลับบ้านไม่ถึง 2 ชั่วโมง ตำรวจเจ้าของคดีโทร.กลับมาบอกว่า คดีนี้ตำรวจไม่สามารถฟ้องได้ ผู้เสียหายต้องไปฟ้องเอง อ้างว่ากฎหมายออกมาใหม่ ซึ่งเมื่อตรวจสอบ พ.ร.บ.จราจร ฉบับปัจจุบันก็พบว่ามีผลบังคับใช้ประมาณเดือนมิถุนายน 2566 แต่ทำไมตำรวจซึ่งทำหน้าที่ด้านนี้ถึงไม่ทราบ และยื้อเวลาผู้เสียหายให้เสียเวลากว่า 1 เดือน ซึ่งก็ยังโชคดีที่ผู้เสียหายเห็นผิดสังเกตในหลายเรื่อง จึงได้แต่งตั้งทนายความยื่นฟ้องไว้เรียบร้อยแล้ว