นครปฐม - นายกสมาคมไวยาวัจกรแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยชาวบ้านรอบวัดจันทร์ใน เข้ายื่นหนังสือให้ตรวจสอบการกระทำของเจ้าอาวาสวัดจันทร์ใน มีการแต่งตั้งมูลนิธิทนายกองทัพธรรม จัดสรรผลประโยชน์ทำงานแทนเจ้าอาวาสชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ พร้อมตั้งคำถามการขับไล่พระทั้ง 12 รูป
วันนี้ (26 เม.ย.) ที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม นายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร นายกสมาคมไวยาวัจกรแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยทีมทนายความ และชาวบ้านบริเวณโดยรอบวัดจันทร์ใน เขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร ได้เข้ายื่นหนังสือให้มีการดำเนินการตรวจสอบการกระทำของเจ้าอาวาสวัดจันทร์ใน ต่อนายอินทพร จั่นเอี่ยม ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยมี น.ส.ชุติญา แก้วมณี รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานเป็นตัวแทนมาเป็นผู้รับหนังสือดังกล่าว
นายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร นายกสมาคมไวยาวัจกรแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในการเดินทางมาพร้อมกับชาวบ้านในพื้นที่โดยรอบวัดจันทร์ใน ในวันนี้สืบเนื่องจากกรณีความขัดแย้งระหว่างพระครูโสภณกิจจานุกิจ เจ้าอาวาสวัดจันทร์ใน และคณะสงฆ์ลูกวัดจำนวน 12 รูป ซึ่งมีการขัดแย้งเป็นการภายในมาหลายปี
กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ได้ปรากฏว่า พระครูโสภณกิจจานุกิจ เจ้าอาวาสวัดจันทร์ในได้มีการมอบอำนาจให้มูลนิธิทนายกองทัพธรรม โดยนายอนันตชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิ ให้จัดผลประโยชน์ภายในวัด รวมทั้งให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวดำเนินการ จัดการ ให้คำปรึกษาในการบริหารจัดการวัดจันทร์ใน ซึ่งมีรายงานมอบให้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อขอให้แจ้งไปยังเจ้าคณะผู้ปกครองคณะสงฆ์ที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบว่าด้วยพระธรรมวินัย พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 รวมทั้งกฎ ระเบียบของคณะสงฆ์ต่างๆ หรือไม่ โดยขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวยข้อเท็จจริงในประเด็น ดังต่อไปนี้
1.พระครูโสภณกิจจานุกิจ เจ้าอาวาสวัดจันทร์ใน ทำหนังสือมอบอำนาจให้มูลนิธิทนายกองทัพธรรมโดยนายอนนต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิและคณะให้จัดการผลประโยชน์ภายในวัดจันทร์ใน รวมทั้งจัดการเรื่องต่างๆ ภายในวัดจันทร์ใน เป็นการกระทำที่ชอบด้วยพระธรรมวินัย พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 รวมทั้งกฎระเบียบต่างๆ หรือไม่ ประการใด
2.การกระทำของพระครูโสภณกิจจานุกิจที่ร่วมกับมูลนิธิทนายกองทัพธรรมโดยนายอนันต์ชัย ไชยเดช และคณะ ทำหนังสือไล่พระสงฆ์ จำนวน 12 รูป ออกจากวัดจันทร์ใน โดยนายอนันต์ชัย ไชยเดช เป็นผู้ขอให้พระครูโสภณกิจจานุกิจ เจ้าอาวาสวัดจันทร์ในลงนามในประกาศคำสั่งดังกล่าว และนายอนันต์ชัย ไชยเดช เป็นผู้อ่านประกาศคำสั่งดังกล่าวต่อหน้าสื่อมวลชนและสื่อออนไลน์ต่างๆ เผยแพร่ไปทั่วประเทศ การกระทำดังกล่าวชอบด้วยพระธรรมวินัย พระราชบัญญัติคณัสงฆ์ พ.ศ 2405 รวมทั้งกฎระเบียบต่างๆ หรือไม่
3.การกระทำของพระครูโสภณกิจจานุกิจ เจ้าอาวาสวัดจันทร์ใน โดยการทำหนังสือประกาศคำสั่งขับไล่พระลูกวัดจันทร์ใน จำนวน 12 รูป ให้ออกจากวัดภายในกำหนด 2 วัน ตามข้อ 2 ไม่ปรากฏว่าพระลูกวัดจันทร์ใน จำนวน 12 รูป ได้กระทำความผิดในเรื่องใด และไม่มีการสอบสวนความผิดก่อน หากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของเจ้าคณะผู้ปกครองเห็นว่าพระครูโสภณกิจจานุกิจ เจ้าอาวาสวัดจันทร์ในกระทำไปโดยมิชอบ และไม่ปรากฏว่าพระลูกวัดจันทร์ใน จำนวน 12 รูป ได้กระทำความผิดในเรื่องใด ขอให้เจ้าคณะผู้ปกครองให้ความเป็นธรรมกับพระลูกวัด โดยการเพิกถอนประกาศคำสั่งขับไล่พระลูกวัด จำนวน 12 รูปด้วย
4.การกระทำของพระครูโสภณกิจจานุกิจ เจ้าอาวาสวัดจันทร์ในตาม ข้อ 1 และ 2 ผู้ปกครองคณะสงฆ์ เช่น เจ้าคณะแขวง เขต 1 และเจ้าคณะเขตบางคอแหลม รวมทั้งเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ได้ทราบเรื่องดังกล่าวหรือไม่ และพระครูโสภณกิจจานุกิจ เจ้าอาวาสวัดจันทร์ในมีอำนาจทำหนังสือประกาศไล่พระสงฆ์ จำนวน 12 รูป ออกจากวัดจันทร์ในโดยไม่มีการสอบสวนความผิดก่อน ชอบด้วยพระธรรมวินัย พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ 2505 รวมทั้งกฎระเบียบต่างๆ หรือไม่
5.นอกจากนั้นบรรดาข้าพเจ้าทราบว่ามีเจ้าอาวาสหลายวัดได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้มูลนิธิทนายกองทัพธรรมโดยนายอนันต์ชัย ไชยเดช เป็นผู้มีอำนาจบริหารจัดการผลประโยชน์ของวัดต่างๆ หากการกระทำดังกล่าวเป็นการไม่ชอบด้วยพระธรรมวินัย พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ 2505 รวมทั้งกฎระเบียบต่างๆ ขอให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติดำเนินการแจ้งให้เจ้าคณะผู้ปกครองวัดต่างๆ ทั่วประเทศทราบด้วย
น.ส.ชุติญา แก้วมณี รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่า ในการรับหนังสือในวันนี้เพื่อนำไปตรวจสอบว่าเรื่องที่ร้องเข้ามามีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ในสองเรื่องที่แจ้งเข้ามาในวันนี้แยกออกเป็นสองกอง ตามอำนาจหน้าที่ของเราคือเรื่องของศาสนสมบัติ เป็นไปในเรื่องของการจัดดูแลผลประโยชน์ การมอบอำนาจจะมีในส่วนที่เจ้าอาวาสได้มอบให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจัดได้กับที่เจ้าอาวาสจะสามารถจัดเองได้ เป็นไปตามกฎกระทรวงของการจัดดูแลสาธารณสมบัติ พ.ศ.2564 ส่วนในเรื่องที่สองเป็นในเรื่องของส่วนคณะสงฆ์ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะรับหนังสือไปตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่จะต้องมีการส่งไปที่เจ้าคณะปกครองสูงนั่นคือเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ผลเป็นอย่างไรจะได้แจ้งเป็นหนังสือกลับไป
นายศุภภัทร์พจน์ กล่าวว่า ในการเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนในวันนี้สืบเนื่องจากการที่มูลนิธิทนายกองทัพฑธรรม นำโดยนายอนันตชัย ไชยเดชประธานมูลนิธิ ได้รับมอบอำนาจในการเข้าดูแลจัดการภายในวัดซึ่งในอำนาจหน้าที่ตนเห็นว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ซึ่งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมีกองพุทธศาสนาสมบัติ ที่จะเข้ามาดูแลดำเนินการอยู่แล้ว การที่เจ้าอาวาสได้มีการมอบอำนาจให้ คนนอกไปดูแลซึ่งไม่น่าจะเคยปรากฏมาก่อนและไม่สามารถทำได้ ซึ่งที่ผ่านมา เจ้าอาวาสวัดต่างๆ ได้มอบอำนาจให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้เข้าไปทำหน้าที่ในการบริหารจัดการต่างๆ ซึ่งมันไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าหากจะบอกว่าจะให้สำนักงานพระพุทธศาสนาเข้ามาดูแลจัดการไม่สามารถจะทำให้เรื่องจบได้ เป็นเพราะไม่เคยมีการประสานงานเข้ามาให้หน่วยงานทางราชการเข้าไปดูแล
"และขอยืนยันว่าเจ้าอาวาสทั่วประเทศที่เคยมีการลงนามมอบอำนาจให้คนนอกมาดูแลบริหารจัดการในวัดไม่สามารถทำได้เพราะสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักงานพระพุทธศาสนาประจำจังหวัดมีหน่วยงานที่จะเข้ามาดูแลและประสานงานโดยมีนิติกรเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรงอยู่แล้ว แต่หากจะให้มอบอำนาจในการลงนามในการดำเนินการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างนั้นทำได้ แต่การมอบอำนาจให้จัดการดูแลผลประโยชน์ของวัดทำไม่ได้ผมขอยืนยัน"
นายศุภภัทร์พจน์ กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องที่สองคือเรื่องการที่เจ้าอาวาสวัดจันทร์ในได้มีการลงนามขับไล่พระทั้ง 12 รูปออกจากวัดทั้งที่ยังไม่กระทำความผิดไม่สามารถทำได้ และท่านเองไม่เคยทำการสอบสวนมาก่อนหรือมีหนังสือชี้แจงไปยังเจ้าคณะปกครอง ทั้งเจ้าคณะแขวง เจ้าคณะเขตให้ทราบเรื่องมาก่อน แต่กลับมีการไลฟ์สดออกทางโซเชียลโดยปรากฏว่ามีนายอนันตชัย ไชยเดช นายประยุทธ์ ทนายความ และเจ้าอาวาสวัดจันทร์ใน ได้มีการไลฟ์ลงนามในการขับไล่พระทั้ง 12 รูป ออกจากวัดจันทร์ใน โดยนายอนันตชัยได้บอกให้ท่านเจ้าอาวาสเซ็นหนังสือขับไล่พระในช่วงไลฟ์สด ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งผมยืนยันว่าทำไม่ได้ แน่จริงให้นายอนันตชัย ฟ้องร้องผมมาได้เลยเพราะผมยืนยันว่าทำไม่ได้ เนื่องจากอำนาจของเจ้าอาวาสโดยตรง และเจ้าอาวาสต้องมีการสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องของการกระทำความผิดก่อน หากพบความผิดต้องมีกระบวนการลงโทษตามลำดับขั้นตอน และต้องมีการแจ้งความผิดไปยังพระแต่ละรูปไม่ใช่เหมาเข่งแบบนี้ ซึ่งมีการปรากฏในคำสั่งว่ามีการใช้โซเชียลโจมตี แต่พระครึ่งหนึ่งในนั้นเล่นโซเชียลไม่เป็น ซึ่งฝากถึงท่านเจ้าอาวาสทั่วประเทศด้วยว่าไม่สามารถทำได้
"ผมอยากจะฝากถึงทนายอนันตชัย ท่านเองเป็นนักกฎหมาย และคนที่นั่งอยู่ข้างท่านก็เป็นคนที่เคยบวชมาเช่นเดียวกันเหมือนกับผม มีอะไรควรจะถามนักบวชเก่าของท่านว่าอะไรทำได้หรือทำไม่ได้ และเวลาดำเนินการควรใช้ธรรมะนำหน้าอย่าใช้กฎหมายนำหน้า เช่นการไปไล่ฟ้องพระแบบนี้สำหรับผมไม่เห็นด้วยและถือว่าเป็นบาปกรรมขี้กากจะกินเอา" นายศุภภัทร์พจน์ กล่าว
ขณะเดียวกัน ชาวบ้านกว่า 20 คน ที่เดินทางเข้ามาร่วมลงนามในการยื่นหนังสือได้แสดงเจตนาว่าปัญหาดังกล่าวได้เกิดขึ้นมาแล้ว 4 ปี แต่ยังไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาอะไรได้ โดยท่านเจ้าอาวาส เคยพูดไว้ว่า ขอเวลาทดลองจัดการบริหารงานในวัด 2 ปี หากไม่สามารถทำได้ท่านจะลาออกไปเอง พวกเราไม่เคยต่อต้านท่าน แต่เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นท่านเป็นคนดำเนินการเองทุกเรื่อง ตอนนี้อยากจะบอกว่าถ้าท่านทำไม่ได้ก็ควรออกไป ตรงนี้พูดถึงความรู้สึกของชาวบ้านที่ทำบุญให้วัดนี้มาตลอด เพราะทุกวันนี้วัดมีผู้คนมาทำบุญน้อยลงมากแล้ว ขอฝากให้ผู้ใหญ่ช่วยเข้ามาดูแลในเรื่องนี้ด้วย