เชียงใหม่-กลุ่มพ่อค้าแม่ค้าชุมชน2ตำบลติดเขื่อนแม่กวงฯ เชียงใหม่ รวมตัวชูป้ายประท้วง พร้อมยื่นหนังสือถึงนายอำเภอดอยสะเก็ดร้องขอความเป็นธรรมและให้ตรวจสอบผู้จัดงานสงกรานต์ปากอุโมงค์ส่งน้ำ เรียกเก็บค่าเช่าที่สุดแพงแผงละ 2,200บาทไม่รวมค่าสติ๊กเกอร์อนุญาตขายแอลกอฮอล์อีก 2,500บาท ที่ดูคล้ายจ่ายเป็นส่วย แถมยังจะขยายเวลาจัดและเก็บค่าเช่าเพิ่ม สงสัยเป็นกลุ่มนอกพื้นที่เข้ามากอบโกยผลประโยชน์ ขณะเดียวกันแฉซ้ำผู้จัดงานที่เป็นประธานวิสาหกิจชุมชนจากนอกพื้นที่ มีพฤติกรรมกร่างอ้างตัวเป็นข้าราชการซี8 ข่มขู่ผู้ค้า
วันนี้(19 เม.ย.67) ที่ว่าการอำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มพ่อค้าแม่ค้าที่เป็นชาวชุมชนในพื้นที่ตำบลลวงเหนือ อำเภอดอยสะเก็ด และตำบลหนองแหย่ง อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ประมาณ 50 คน รวมตัวกันเข้ายื่นหนังสือถึงนายอำเภอดอยสะก็ด รวมทั้งสำเนาถึงอีกหลายหน่วยงานเพื่อร้องขอความเป็นธรรมและขอให้ตรวจสอบ กรณีที่มีหน่วยงานราชการแห่งหนึ่งขออนุญาตใช้พื้นที่จากเขื่อนแม่กวงฯ แล้วร่วมกับวิสาหกิจชุมชนแห่งหนึ่งจากต่างนอกพื้นที่ เข้าจัดงานสงกรานต์และเล่นน้ำในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาบริเวณปากอุโมงค์ส่งน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา ซึ่งเป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างตำบลลวงเหนือและตำบลหนองแหย่ง
โดยที่มีการเปิดให้พ่อค้าแม่ค้าเช่าพื้นที่ขายช่วงวันที่10-16เม.ย.67 แผงละ 2,200 บาท และหากแผงใดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะถูกเก็บเงินเพิ่มอีกแผงละ 2,500 บาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าทุกปีที่ผ่านมาที่ชุมชนร่วมกันจัดและรายได้จากการจัดงานครั้งนี้ไม่ได้เข้าชุมชน ขณะเดียวกันทางผู้จัดงานยังเตรียมที่จะจัดงานที่ใช้ชื่อว่า "วันไหลเชียงใหม่" อีกในช่วงวันที่ 21-27เม.ย.67ทั้งที่ไม่ใช่วัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น และเรียกเก็บเงินค่าเช่าพื้นที่เพิ่มอีกแผงละ 1,500 บาท ซึ่งเห็นว่าไม่ถูกต้อง
ทั้งนี้ตัวแทนพ่อค้าแม่ค้าชาวชุมชนทั้ง 2 ตำบล ระบุว่า การจัดงานทุกปีที่ผ่านมาจะเป็นในลักษณะที่ชุมชนบริหารจัดการร่วมกันโดยมีการตั้งคณะกรรมการร่วมของทั้ง 2 ตำบล และตัวแทนเขื่อนแม่กวงฯ แต่ปรากฏว่าปีนี้มีหน่วยงานราชการแห่งหนึ่งทำเรื่องขออนุญาตใช้พื้นที่จากทางเขื่อนแม่กวงฯ แล้วร่วมกับวิสาหกิจชุมชนแห่งหนึ่งจากนอกพื้นที่เข้ามาเป็นผู้จัดงาน
เบื้องต้นตามที่กำหนดไว้จะมีการแบ่งพื้นที่ให้ขายของจำนวน 200 ร้าน เก็บค่าเช่าตลอดงานแผงละ 2,200 บาท แต่ปรากฏว่าเมื่อเริ่มงานกลับมาจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 400 ร้าน ขณะที่ในส่วนของร้านที่เปิดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทางผู้จัดงานเรียกเก็บเงินค่าเช่าเพิ่มแผงละ 2,500 บาท อ้างว่าเป็นค่าขออนุญาตจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และได้รับหลักฐานเป็นเพียงสติ๊กเกอร์ขนาดเท่านามบัตรพิมพ์อักษร “L” จำนวน 1 ใบ ให้เพื่อติดหน้าร้านเท่านั้น จึงไม่แน่ใจว่าได้มีการยื่นขออนุญาตต่อทางสรรพสามิตรอย่างถูกต้องจริงหรือไม่ หรือว่าเงินดังกล่าวตกไปอยู่ที่ผู้ใด ซึ่งดูคล้ายเป็นการจ่ายส่วย เพราะตามเงื่อนไขปกติในการใช้พื้นที่นั้น ทางเขื่อนแม่กวงฯ ห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเด็ดขาด
นอกจากนี้ตัวแทนพ่อค้าแม่ค้าชาวชุมชน ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า แม้หน่วยงานที่ทำหนังสือขอใช้พื้นที่และได้รับอนุญาตจัดงานจะเป็นหน่วยงานราชการ แต่แท้ที่จริงแล้วผู้จัดงานน่าจะเป็นผู้ประกอบการออร์แกไนซ์เซอร์ เนื่องจากการสอบถามพ่อค้าแม่ค้าจากต่างพื้นที่ ที่เข้ามาตั้งร้านขายในงานเดียวกันนี้บอกว่า ปกติจะตระเวนออกร้านขายของตามงานต่างๆ เป็นประจำอยู่แล้ว โดยที่มีผู้ที่คอยประสานงานและจัดสรรพื้นที่ให้กับกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าดังกล่าว จึงเชื่อว่าผู้จัดงานครั้งนี้ตัวจริงน่าจะเป็นออร์แกไนซ์เซอร์มากกว่า
รวมทั้งสงสัยด้วยว่า การจัดงานครั้งนี้มีการเก็บค่าเช่าพื้นที่แพงกว่าทุกปีที่ผ่านมา ที่ชุมชนบริหารจัดการกันเอง ทว่าเงินรายได้ที่จัดเก็บได้จากการจัดงานในครั้งนี้กลับไม่ได้ถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของชุมชนท้องถิ่น แต่น่าจะเป็นการทำกำไรและผลประโยชน์ให้กับผู้จัดงานมากกว่า เพราะทางผู้จัดงานเตรียมที่จะจัดงานวันไหลอีก โดยเก็บเงินค่าเช่าพื้นที่เพิ่มอีก ซึ่งมองว่าไม่เป็นธรรมและเอารัดเอาเปรียบชุมชนมากเกินไป จึงอยากร้องให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและขอความเป็นธรรมเพื่อรักษาประโยชน์ให้กับชาวชุมชนทั้ง2ตำบล
ขณะเดียวกันผู้ค้าอีกรายหนึ่ง เปิดเผยว่า ในช่วงจัดงานถูกประธานวิสาหกิจชุมชนจากนอกพื้นที่ที่เป็นผู้จัดงานแสดงพฤติกรรมข่มขู่คุกคามด้วย จากการที่ตัวเองแสดงความคิดเห็นเรื่องการที่ผู้จัดงานจะเรียกเก็บเงินเพิ่มร้านละ 1,800 บาท เป็นค่าเช่าพื้นที่ขายในช่วงจัดงานวันไหล ซึ่งตัวเองไม่เห็นด้วยและเสนอให้มีการประชุมผู้ค้าเพื่อตกลงกันก่อนจะดีกว่า แต่ทางผู้จัดงานได้พูดขึ้นอย่างมีอารมณ์ตำหนิตัวเองว่ามีปัญหาเยอะ และบอกว่ารู้หรือไม่ว่าเขาเป็นใคร เขาเป็นข้าราชการซี8 ดังนั้นอย่ามีปัญหากับเขาจะดีกว่า รวมทั้งเขายังได้ใช้ขวดน้ำดื่มตีเข้าที่หน้าอกของตัวเขาเองด้วย ซึ่งช่วงเกิดเหตุนี้มีพ่อค้าแม่ค้าที่อยู่ในเหตุการณ์หลายราย ทั้งนี้มองว่าการจัดงานเช่นนี้ในครั้งต่อๆ ไป ไม่ควรให้หน่วยงานจากต่างพื้นที่เข้ามาจัด และให้ชุมชนท้องถิ่นเป็นผู้จัดดีกว่า