ฉะเชิงเทรา - นายก อบจ.ฉะเชิงเทราโอดอุตสาหกรรมโต โรงงานเพิ่มทำถนนหลายสายพัง แต่กลับเก็บภาษีผู้ประกอบการรายใหญ่โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไม่ได้ เหตุส่วนใหญ่จดทะเบียนที่ กทม. สุดท้ายงบไม่พอซ่อมทำชาวบ้านเดือดร้อน
จากกรณีที่ชาวบ้านในพื้นที่ ต.สนามจันทร์ อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา ได้ร้องเรียนต่อสื่อมวลชนให้ช่วยกระตุ้นหน่วยภาครัฐเข้มงวดกวดขันการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังกับบรรดารถพ่วง และรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่บรรทุกน้ำหนักเกิน 25 ตัน ที่ยังคงฝ่าฝืนขับรถขึ้นบนสะพานบ้านโพธิ์ หรือสะพานพระยาศรีสุนทรโวหาร เพื่อข้ามแม่น้ำบางปะกง มุ่งหน้าไปถนนสาย 314 ฉะเชิงเทรา-บางปะกง
โดยชาวบ้านหวั่นว่าอาจจะเกิดเหตุร้ายขึ้นได้เนื่องจากสะพานดังกล่าวอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม และแม้ที่ผ่านมาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะได้นำป้ายห้ามนำรถน้ำหนักเกิน 25 ตันขับขึ้นบนสะพาน แต่สุดท้ายนอกจากป้ายจะหายไปเกือบหมดแล้ว บรรดาคนขับรถบรรทุกไม่มีทีท่าว่าจะสนใจต่อคำเตือนแต่อย่างใดนั้น
วันนี้ (3 เม.ย) นายกิตติ เป้าเปี่ยมทรัพย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดฉะเชิงเทรา พร้อมหน่วยงานกองช่างยังได้นำผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจความเสียหายของคอสะพานข้ามคลองประเวศบุรีรมย์ ซึ่งเป็นสะพานอีกหนึ่งแห่งที่เกิดการทรุดตัวและชำรุดเสียหายจากปัญหาการใช้เส้นทางของรถบรรทุกขนาดใหญ่ จนทำให้ชาวบ้านและผู้ใช้เส้นทางได้รับความเดือดร้อน
โดย นายกิตติ เผยว่า ถนนสาย ฉช.ถ.1-0002 ซึ่งเป็นที่ตั้งของสะพานข้ามลองประเวศบุรีรมย์ ที่เกิดเการชำรุด อบจ.ฉะเชิงเทรา ได้รับการถ่ายโอนมาจากสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท ตั้งแต่วันที่ 2 ก.ย.2545 ที่ผ่านมา ส่วนสะพานถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี 2523 จึงทำให้เกิดการชำรุดทรุดโทรมตามกาลเวลาหลังถูกใช้งานมานานกว่า 40 ปี อีกทั้งยังมีรถขับผ่านเส้นทางเป็นจำนวนมากทุกวันโดยเฉพาะรถบรรทุกน้ำหนักมาก
“เนื่องจากเส้นทางสายนี้เป็นถนนที่ตัดเชื่อมต่อมาจากถนนสุวินทวงศ์ไปถนนสายเทพรัตน (บางนา-ตราด) และยังเป็นเส้นทางเชื่อมต่อไปเขตลาดกระบัง อ่อนนุช และเส้นทางนี้ยังมีนิคมอุตสาหกรรมเกิดใหม่จำนวนมาก ซึ่งหากจะทำการก่อสร้างสะพานใหม่ขึ้นทดแทน ต้องใช้เงินงบประมาณมากถึง 70 ล้านบาท”
แต่เมื่อเกิดการชำรุดขึ้นมาก่อนซึ่งถือเป็นเหตุฉุกเฉินที่จำเป็นต้องจัดหาเงิน หรือของบบูรณาการ (ก.บ.ก.) จากกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 1 (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง) ภายใต้แผนขอรับการสนับสนุนงบประมาณปฏิบัติราชการประจำปี 2568 เป็นเงิน จำนวน 67.9 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กทดแทน และหากมีงบประมาณในปีต่อๆ ไป จึงจะได้จัดสรรงบประมาณมาทำการก่อสร้างสะพานใหม่
นายก อบจ.ฉะเชิงเทรา ยังบอกอีกว่าแม้ จ.ฉะเชิงเทรา จะอยู่ในโครงการ EEC แต่มีงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรเพียงปีละ 943 ล้านบาทเท่านั้น ผิดจาก จ.ชลบุรี ที่มีงบประมาณมากกว่า 5 พันล้านบาท และระยอง กว่า 4 พันล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ ยังต้องประสบปัญหาเรื่องการจัดเก็บรายได้ ที่แม้ จ.ฉะเชิงเทรา จะมีผู้ประกอบการรายใหญ่เข้ามาก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์
แต่ไม่สามารถจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้เนื่องจากบริษัทเหล่านี้จดทะเบียนที่ตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ในจังหวัดอื่น ทั้งกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ
“ในทางกลับกัน อบจ.ฉะเชิงเทรา ต้องดูแลด้านสาธารณูปโภค และจัดการเรื่องขยะ รวมทั้งปัญหาสิ่งแวดล้อมให้ผู้ประกอบการเหล่านี้แต่การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ประกอบการกลับไม่เพียงพอที่จะนำมาใช้จ่ายซ่อมบำรุงเส้นทางและสาธารณูปโภคต่างๆ จึงอยากวิงวอนให้ผู้ประกอบการที่เข้ามาทำธุรกิจอยู่ใน จ.ฉะเชิงเทรา ช่วยกันาจ่ายภาษีให้แก่จังหวัดด้วย” นายกิตติ กล่าว
เช่นเดียวกับนายมนฑล นฤภัย รองนายก อบต.คลองเปรง เผยว่า การเข้ามาของผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ทำให้ถนนสาย ฉช.ถ.1-0002 ถูกใช้เป็นเส้นทางลัดข้ามไปฝั่ง จ.สมุทรปราการ ซึ่งมีนิคมอุตสาหกรรมเอเชียตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม รวมทั้งยังใช้เป็นเส้นทางเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิ และถนนบางนา-ตราด รวมทั้ง จ.ชลบุรี จนทำให้มีปริมาณรถผ่านเข้ามาใช้เส้นทางเป็นจำนวนมากกว่า 1 หมื่นคันต่อวัน
โดยเฉพาะรถบรรทุกหนักที่ขนถ่ายสินค้าจนทำให้ถนนทรุดตัวที่คอสะพาน ขณะที่ อบต.ทำได้เพียงนำยางแอสฟัลติกแบบบรรจุถุงมาอุดกลบรอยแตกร้าวที่ทรุดตัวลง เพื่อให้ประชาชนสามารถสัญจรได้ไปก่อน
“เนื่องจาก อบต.มีงบประมาณจำกัดจนต้องร้องขอไปยัง อบจ.ฉะเชิงเทรา ให้เข้ามาหาทางดำเนินการแก้ไข แต่เนื่องจากอุตสาหกรรมขนาดใหญ่รุกเต็มพื้นที่จนทำถนนหลายสายเกิดการทรุดตัว จึงขอนายก อบจ.ฉะเชิงเทรา เรียกร้องให้นายทุนที่เข้ามาประกอบกิจการในพื้นที่ช่วยจ่ายภาษี VAT คืนผลกำไรให้ชาวแปดริ้วเพื่อใช้ซ่อมแซมระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ด้วย” รองนายก อบต.คลองเปรง กล่าว
