กาญจนบุรี - ชาวสังขละบุรีพบอุโมงค์ที่บ้านซองกาเลีย คาดใช้หลบภัยสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 วอนผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่สำรวจเพื่ออนุรักษ์ และพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์
นายมานชัย วัฒนการัณย์ และนายศราวุธ ไทรสังข์สิริพงศ์ ชาวอำเภอสังขละบุรี ได้นำผู้สื่อข่าวลงพื้นที่บ้านซองกาเลีย หมู่ 8 ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี เพื่อสำรวจอุโมงค์ที่คาดว่าน่าจะถูกขุดเจาะในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อครั้งที่กองทัพญี่ปุ่น เกณฑ์เชลยศึกและกรรมกรมาสร้างทางรถไฟสายมรณะ จากหนองปลาดุกของประเทศไทย-สถานีตันบูชายัต ประเทศพม่า โดยอุโมงค์ที่พบอยู่บนเนินเขาห่างจากริมถนนสาย 323 ประมาณ 100 เมตร
จากการตรวจสอบอุโมงค์พบกว้างประมาณ 2 เมตร สูง 1.80-1.90 เมตร ยาวประมาณ 35 เมตร อุโมงค์ถูกเจาะทะลุเนินเขาเชื่อมไปพื้นที่ด้านหลังซึ่งเป็นพื้นที่ป่าที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ อากาศภายในอุโมงค์ถ่ายเทได้เป็นอย่างดีรู้สึกเย็นสบาย อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 24-25 องศา จากสภาพการขุดเจาะพบร่องรอยการใช้อุปกรณ์เครื่องมือประเภทขวานอีเตอร์ ชะแลง และจอบ ซึ่งเป็นฝีมือของมนุษย์ สภาพโดยรวมค่อนข้างสมบูรณ์ จะมีเพียงร่องรอยดินถล่มลงมาบริเวณปากอุโมงค์และท้ายอุโมงค์เท่านั้น
สำหรับอุโมงค์ที่พบในครั้งนี้เบื้องต้นยังไม่แน่ชัดมากนักว่าขุดเจาะมาแล้วกี่ปี แต่คนในพื้นที่คาดว่าน่าจะใช้เป็นที่หลบภัยสำหรับป้องกันการโจมตีทางอากาศในช่วงการก่อสร้างทางรถไฟจากบ้านซองกาเลีย-ด่านเจดีย์สามองค์ และน่าจะมีการใช้งานอุโมงค์ในช่วงยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากพบคราบของควันอยู่ผนังอุโมงค์ในส่วนที่เจาะผนังเข้าไปเพื่อแขวนหรือตั้งตะเกียงส่องสว่างให้มองเห็นภายในอุโมงค์ อีกทั้งยังพบว่าการขุดเจาะอุโมงค์ได้มีการออกแบบคล้ายกับมีเสาค้ำยันในทุกระยะ 2 เมตร ประกอบกับจุดที่ขุดเจาะอุโมงค์เป็นดินดานตลอดแนวทำให้ช่องอุโมงค์มีความแข็งแรงมากกว่าดินทั่วไป
ทั้งนี้ นายมานชัย วัฒนการัณย์ และนายศราวุธ ไทรสังข์สิริพงศ์ ชาวอำเภอสังขละบุรี ที่สนใจในการเดินสำรวจและศึกษาเส้นทางรถไฟสายมรณะที่อยู่ในเขตพื้นที่อำเภอสังขละบุรี ได้กล่าวเรียกร้องขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือผู้เชี่ยวชาญเดินทางมาสำรวจอุโมงค์ดังกล่าวเพื่อหาข้อเท็จจริง จากนั้นจะได้ร่วมกันอนุรักษ์ และพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนของเด็กและเยาวชน และเมื่อนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมก็จะสร้างรายได้ให้ชุมชนได้อีกทางหนึ่งด้วย
ขณะที่นายพนม โพธิ์แก้ว ส.ส.จังหวัดกาญจนบุรี เขต 5 พรรคเพื่อไทย ได้ประสานผ่านโทรศัพท์แจ้งให้ทราบว่า ช่วงเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ ตนพร้อมทีมงานจะเดินทางไปสำรวจอุโมงค์ที่พบอีกครั้งหนึ่ง หากเป็นไปได้จะดำเนินการพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ อนาคตอาจจะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของอำเภอสังขละบุรีก็เป็นไปได้
