เชียงใหม่-สถาบันวิศวกรรมชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ส่งมอบ “ช้างไฟ” เครื่องตรวจจับควันไฟส่งสัญญาณแบบ Real time ให้จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อสนับสนุนการทำงานแก้ไขปัญหาไฟป่า เบื้องต้นติดตั้งแล้ว 428 เครื่องในป่าทั่วพื้นที่เชียงใหม่
วันนี้ (29 มี.ค. 67) ที่ศูนย์ควบคุมมาตรฐานการลาดตระเวนเชิงคุณภาพอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ นายทศพล เผื่อนอุดม รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นตัวแทนรับมอบอุปกรณ์ “ ช้างไฟ” จากสถาบันวิศวกรรมชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่นำโดยศาสตราจารย์ ดร.นพ.พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมด้วยนายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองและประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด, หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย จังหวัดเชียงใหม่ และผู้อำนวยการสถาบัน วิศวกรรมชีวการแพทย์, รองผู้อำนวยการสถาบันวิศวกรรมชีวการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมเป็นสักขีพยานในการรับมอบ
ทั้งนี้ศาสตราจารย์ ดร. นิพนธ์ ธีรอำพน ผู้อำนวยการสถาบันวิศวกรรมชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และรองศาสตราจารย์ ดร. ศันสนีย์ เอื้อพันธ์วิริยะกุล รองผู้อำนวยการสถาบันวิศวกรรมชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เผยถึงการทำงานของอุปกรณ์ “ ช้างไฟ” ว่าคือระบบการแจ้งเตือนการเกิดไฟป่า ด้วยการตรวจจับควันที่เกิดจากการเผา และส่งตำแหน่งพิกัดที่ตรวจพบควันไฟผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปยังระบบประมวลผลเพื่อประมวลระดับความรุนแรงของควันไฟและแสดงผลไปยังหน้าจอของผู้ใช้ ณ ศูนย์ควบคุมควบคุมไฟป่า
โดย “ช้างไฟ” จะเป็นอีกหนึ่งกลไกในการช่วยเหลือสนับสนุนการปฏิบัติงานดับไฟป่าของเจ้าหน้าที่ ซึ่ง“ช้างไฟ” จะใช้ติดตั้งบนต้นไม้ที่ระดับความสูงประมาณ 4-10 เมตร มีระบบการใช้งานร่วมกับซิมเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่และใช้แหล่งพลังงานจากโซลาร์เซลล์ที่ติดกับตัวเครื่อง เมื่อเกิดควันไฟขึ้นจะทำให้ทราบสถานการณ์แบบ Real time ทำให้สามารถดำเนินการวางแผนควบคุมไฟป่าได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งขณะนี้ “ช้างไฟ” ได้ถูกติดตั้งแล้วทั้งหมด 428 เครื่องทั่วเชียงใหม่
ด้านรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง กล่าวว่า รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหา PM 2.5 และประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ มีการตั้งคณะกรรมการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศเพื่อความยั่งยืน มีการสั่งอย่างเข้มงวดในการให้คุณให้โทษกับเจ้าหน้าที่ และการห้ามเผาทั้งในพื้นที่ป่าและพื้นที่เกษตรกรรมเกษตร โดยในช่วงนี้ไทยได้รับผลกระทบจากการเผาในประเทศเพื่อนบ้าน เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักสำคัญที่ทำให้ค่าฝุ่นสูง
โดยนายกรัฐมนตรีจึงได้มีการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านหยิบยกประเด็นนี้มาหารือ ทำให้มีการทำยุทธศาสตร์ Clear Sky Strategy ร่วมกันระหว่างไทย สปป.ลาว, เมียนมาร์ และเวียดนาม และขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับทางกัมพูชาเพื่อให้เข้าร่วมยุทธศาสตร์นี้ด้วย ขณะเดียวกัน พ.ร.บ. อากาศสะอาด ได้พิจารณามาครึ่งทางแล้วจากทั้งหมด 102 มาตรา และเมื่อวานที่ผ่านมาได้มีมีการประชุมกรรมาธิการในประเด็นหมอกควันข้ามแดน ซึ่งได้รับฟังความคิดเห็น จากหน่วยงานภาครัฐในมิติต่างๆ ทำให้เห็นถึงปัญหาและทิศทางความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในอนาคตชัดเจนยิ่งขึ้นซึ่งคาดว่า พรบ. อากาศสะอาดฉบับนี้จะสามารถใช้ได้ในไตรมาส 4 ของปีนี้
ขณะที่รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวขอบคุณทีมงานมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สถาบันวิศวกรรมชีวการแพทย์ ที่ได้คิดค้นเครื่องตรวจจับควันผ่านเทคโนโลยีที่เรียกว่า “ช้างไฟ” เป็นการช่วยแก้ปัญหาความล่าช้าในการรับทราบข้อมูลไฟไหม้ได้สำเร็จ ซึ่งหากเจ้าหน้าที่สามารถรับทราบจุดเกิดไฟได้เร็วก็จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมและชุมชนอย่างยิ่ง เป็นไปตามแนวคิดของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ในการเข้าถึงเหตุให้ได้โดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันการเกิดเหตุรุนแรงลุกลาม ทั้งนี้จังหวัดเชียงใหม่พร้อมขับเคลื่อนต่อให้เกิดประสิทธิผลมากยิ่งขึ้นต่อไป.