นครพนม - สาธารณสุข จ.นครพนม พร้อม ผอ.รพ.นครพนม-รพ.ศรีสงคราม ร่วมชี้แจงรักษายายไส้ติ่งแตกจนกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ชี้ทีมแพทย์รักษาเต็มความสามารถ เหตุล่าช้าเพราะต้องเตรียมความพร้อมผู้ป่วยก่อนผ่าตัด พร้อมส่งเรื่องให้คณะอนุกรรมการวินิจฉัยเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบต่อไป
จากกรณีนางพัชรี โกษาแสง อายุ 47 ปี ชาวบ้านคำสว่าง ต.นาคำ อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม อาชีพทำสวนยางพารา ได้เข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชนเนื่องจากได้รับผลกระทบจากการรักษาพยาบาล หลังพานางทองออน มัยวงศ์ อายุ 73 ปี ซึ่งเป็นมารดาของตนมารักษาอาการไส้ติ่งอักเสบ ที่โรงพยาบาลศรีสงคราม และโรงพยาบาลนครพนมตามลำดับ แต่ผลการรักษากลับทำให้นางทองออนกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง จึงมาร้องเรียนต่อสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนมขอรับเงินเยียวยา ตามที่เสนอข่าวไปแล้ว
ล่าสุดวันนี้ (28 มี.ค.) นายแพทย์ ปรีดา วรหาร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม ร่วมกับนายแพทย์ นฤพนธ์ ยุทธเกษมสันต์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครพนม พร้อมด้วยนายแพทย์ วรกาล ธิปกะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีสงคราม ได้ร่วมกันชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว โดยนายแพทย์ ปรีดา วรหาร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม ชี้แจงว่า หลังทราบข่าวตนได้ขอข้อมูลการรักษาจากโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาตรวจสอบโดยละเอียด ทราบว่าคนไข้รายนี้ได้รับการส่งต่อจากโรงพยาบาลศรีสงคราม มารักษาที่โรงพยาบาลนครพนม อาการคือไส้ติ่งอักเสบ
เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศรีสงครามวันที่ 14 ธันวาคม 2566 แพทย์ตรวจพบว่ามีอาการไส้ติ่งแตกจึงส่งตัวมาผ่าตัดที่โรงพยาบาลนครพนม แต่เนื่องจากคนไข้เป็นผู้ป่วยสูงอายุมีโรคประจำตัวคือเบาหวานและความดันและต้องกินยาสลายลิ่มเลือดด้วย ทีมแพทย์ที่ทำการรักษาจึงต้องเตรียมความพร้อมผู้ป่วยให้พร้อมก่อนจะเข้ารับการผ่าตัด ด้วยเกรงว่าหากผ่าตัดทันทีคนไข้ซึ่งกินยาสลายลิ่มเลือดอยู่อาจจะมีสภาวะเลือดไหลไม่หยุดสูงมาก จึงต้องให้คนไข้หยุดยาสลายลิ่มเลือดเป็นเวลาอย่างน้อย 72 ชั่วโมง เพื่อให้ระบบการแข็งตัวของเลือดเป็นปกติก่อน
นอกจากนั้นยังต้องรักษาสภาวะความสมดุลกรดและด่างร่างกายคนไข้ด้วย เนื่องจากคนไข้เป็นผู้สูงอายุและมีโรคประจำตัว ขณะเดียวกันจากรายงานทีมแพทย์ก็ได้ให้ยาปฏิชีวนะทางเส้นเลือดเพื่อควบคุมอาการควบคู่กันไปด้วยและเมื่อคนไข้มีความพร้อมก็ทำการผ่าตัดทันที ส่วนเรื่องที่ญาติผู้ป่วยรายนี้ได้มาร้องเรียนเพื่อขอรับเงินเยียวยาเนื่องจากได้รับผลกระทบจากการรักษานั้น ทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดได้รับเรื่องแล้วเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2567 และได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากผู้เกี่ยวข้องครบถ้วนแล้ว และได้ส่งเรื่องให้คณะอนุกรรมการวินิจฉัยเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการรักษาพยาบาลพิจารณาต่อไป
ด้านนายแพทย์ นฤพนธ์ ยุทธเกษมสันต์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครพนม กล่าวว่า การที่ญาติอ้างว่าห้องผ่าตัดไม่ว่างนั้น น่าจะเป็นความผิดพลาดการสื่อสารระหว่างญาติกับพยาบาล ความจริงแล้วห้องผ่าตัดของโรงพยาบาลนครพนมมีความพร้อมตลอดเวลา แต่สาเหตุที่ช้าเพราะทีมแพทย์ต้องเตรียมความพร้อมให้กับคนไข้ที่จะเข้ารับการผ่าตัดเพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับผู้ป่วยเอง โดยพบว่าคนไข้รายนี้นอกจากจะกินยาสลายลิ่มเลือดซึ่งต้องหยุดยาอย่างน้อย 72 ชั่วโมงเพื่อให้ยาหมดฤทธิ์ก่อนแล้ว คนไข้ยังมีอาการเลือดจางจึงต้องแก้ไขอาการโลหิตจางให้เป็นปกติมากที่สุด
กระบวนการเหล่านี้เป็นขั้นตอนในการเตรียมความพร้อมให้ผู้ป่วยก่อนจะเข้ารับการผ่าตัด เพราะหากไม่พร้อมอาจทำให้ผู้ป่วยแย่ลง หรืออาจเสียชีวิตระหว่างผ่าตัดก็เป็นได้ ดังนั้นเหตุที่ได้รับการผ่าตัดล่าช้าก็เป็นไปตามเหตุผลดังกล่าว ตนขอยืนยันว่าทีมแพทย์โรงพยาบาลนครพนมมีศักยภาพเพียงพอในการรักษาผู้ป่วยรายนี้ ส่วนสาเหตุที่คนไข้รายนี้มีอาการแผลติดเชื้ออย่างรุนแรงนั้น เนื่องจากคนไข้มีอาการไส้ติ่งแตก ซึ่งปกติแล้วมักจะตามมาด้วยการติดเชื้ออยู่แล้ว การที่แพทย์อนุญาตให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้ในขณะที่แผลผ่าตัดยังไม่หายติดเชื้อก็สามารถทำได้ เนื่องจากคนไข้สามารถเดินทางไปกลับเพื่อล้างแผลที่โรงพยาบาลใกล้บ้านได้ แต่ถ้าแผลยังเปิดอยู่จะต้องให้ผู้ป่วยรักษาที่โรงพยาบาลเสียก่อน
ด้านนายแพทย์ วรกาล ธิปกะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีสงคราม กล่าวว่า กรณีที่ผู้ป่วยอ้างว่าทีมแพทย์วินิจฉัยโรคผิดพลาดนั้น ตนขอชี้แจงว่าปกติอาการปวดท้องที่พบบ่อย ส่วนมากมักจะเป็นโรคกระเพาะอาหาร หรืออาหารเป็นพิษและไส้ติ่งอักเสบ ส่วนมากจะมีอาการคล้ายๆ กัน แต่พอผ่านไปประมาณหนึ่งหรือสองวันถึงจะรู้ว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ เคสนี้คนไข้มาพบแพทย์แล้วหายไปประมาณ 6-7 วันถึงจะกลับมาใหม่ ทีมแพทย์ก็ตรวจพบเบื้องต้นแล้วว่ามีอาการไส้ติ่งอักเสบ
จึงได้ส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลนครพนม เนื่องจากคนไข้มีโรคประจำตัวและมีอายุมากแล้ว เกรงว่าจะเกิดอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา ซึ่งตามปกติแล้วอาการไส้ติ่งอักเสบปกติทางโรงพยาบาลศรีสงครามก็มีศักยภาพสามารถทำการผ่าตัดได้