นครสวรรค์ - เปิดใจคุณพ่อวัย 49 ปี มีเงินติดตัว 500 ขี่ซาเล้งพ่วงข้างจากเมืองเลย พาลูกน้อยป่วยโรคหัวบาตร ตั้งแต่เกิด มุ่งหน้าเข้ารักษา รพ.นครสวรรค์ คนเห็นโพสต์แชร์ขอโซเชียลฯช่วย ล่าสุดกู้ชีพกู้ภัยพาส่งถึงโรงบาล
กรณีคุณพ่อ ขับขี่รถซาเล้งพ่วงข้าง พาลูกน้อย วัย 3 ขวบเศษ จากจังหวัดเลย เพื่อพาลูกไปผ่าตัดสมองที่จังหวัดนครสวรรค์ โดยมีผู้พบเห็นสองพ่อลูก มาตามถนนสายเพชรบูรณ์-พิจิตร ก่อนจะแวะอยู่พักรถอยู่ในเขต อ.ตากฟ้า จ.นครสวรรค์ จึงได้มีการสอบถามข้อมูล พร้อมกับถ่ายภาพเอาไว้ แล้วจึงนำมาโพสต์ไว้ในเฟซบุ๊ก เพื่อขอความช่วยเหลือนั้น
ล่าสุดเมื่อเย็นวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา มีรายงานว่า สองพ่อลูกรายนี้ ได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ชีพกู้ภัยตากฟ้า นำพาทั้งคู่เดินทางไปส่งยังจังหวัดชัยนาท ก่อนพาเดินทางมายังโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ อ.เมืองนครสวรรค์ เพื่อพาลูกมารักษา แต่ทราบว่า ยังไม่ได้มีการนัดกับหมอ เนื่องจากขาดการรักษาไปตั้งแต่ปี 2563
แพทย์หญิงรจนา ขอนทอง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ เปิดเผยว่า จากที่ทราบข่าวทางโซเชียล ก็ได้ตรวจสอบประวัติจนทราบข้อมูลของพ่อลูกรายนี้ คือ นายสันติสุข เรียนยศ อายุ 49 ปี ลูกชายชื่อสตางค์ คลอดที่โรงพยาบาลจังหวัดชัยนาท เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2563 แล้วจึงพาลูกมาตรวจตรวจรักษายังโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ก่อนจะพบว่า ลูกป่วยทางสมองตั้งแต่กำเนิด ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ โดยเป็นโรคหัวบาตร หรือภาษาทางการเรียกว่า ถุงเยื่อหุ้มสมองโป่งพอง ที่บริเวณไขสันหลังส่วนล่าง และมีถุงน้ำที่ก้นพ่วงมาด้วย
ส่วนการรักษาในครั้งแรกนั้น ทางแพทย์ของโรงพยาบาลก็ได้ทำการผ่าตัดสมอง ฝังท่อระบายน้ำเอาไว้ 2 เส้น พร้อมกับให้ยารักษาตามอาการ เนื่องจากขณะนั้น เด็กยังเล็กอยู่ อีกทั้งโรคที่เป็นมีเปอร์เซ็นหายขาดน้อยมาก จึงต้องมาทำการตรวจรักษาอย่างสม่ำเสมอ แต่ปรากฏว่า หลังจากที่รักษาไปครั้งแรกแล้ว นายสันติสุขก็ไม่พาลูกน้อยกลับมาตรวจรักษาอีกเลย และทางโรงพยาบาลก็ไม่สามารถติดต่อได้ ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน เนื่องจากเจ้าตัวได้เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ จึงไม่ทราบอาการป่วยหลังจากนั้น
เมื่อถามถึงการรักษาในตอนนี้ แพทย์หญิงรจนา ระบุว่า ยังต้องรักษาตามขั้นตอนของแพทย์ ซึ่งมีแผนการเตรียมเอาไว้ตั้งแต่ที่ทำการผ่าตัดก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็ต้องานนำตัวเด็กมาตรวจอาการและสภาพร่างกายในตอนนี้ก่อน เนื่องจากเด็กขาดการรักษาจากที่นี่ไปนาน หลังจากนั้น จะมีการประเมินอาการ และวางแผนขั้นตอนการรักษาต่อไป ส่วนเรื่องค่ารักษาเด็กคนนี้ แต่เดิมเขาใช้สิทธิ์บัตรทอง 30 บาท รักษาได้ตลอดชีวิต และที่ผ่านมา ได้มีการประเมินการรักษาเอาไว้ในระยะ 15 ปี แต่ตอนนี้ อาจจะต้องมีการเปลี่ยนระยะเวลาออกไป
ด้านนายแพทย์ณรงค์พงศ์ โล้วพฤกมณี นายแพทย์เชี่ยวชาญด้านประสาทศัลยกรรม ซึ่งเป็นหมอที่ดูแลเด็กตั้งแต่ผ่าตัดครั้งแรก ระบุว่า เคสนี้ เป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด เพราะเป็นความผิดปกติทางร่างกายตั้งแต่กำเนิด ไม่ใช่โรคเฉพาะทาง จึงต้องานเข้ารับการตรวจรักษาตามแพทย์นัดหมายอย่างสม่ำเสมอ ควบคู่ไปกับการเลี้ยงดู ที่ต้องสัมพันธ์กัน
ส่วนเรื่องที่ทางพ่อของเด็กระบุว่า ต้องเดินทางมารับยาที่นี่ น่าจะเป็นความเข้าใจผิดมากกว่า ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นการนัดหมาย ที่จะต้องพาเด็กมาทำการตรวจเช็คสมอง และท่อที่ฝังเอาไว้ ไม่ได้มีการมานัดรับยาแต่อย่างใด และเป็นการนัดหมายตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 2565 แล้ว
“หลังติดต่อพ่อของเด็กได้ จึงซักถามอาการของเด็กในเบื้องต้น ก่อนจะทราบว่า เมื่อช่วงต้นปี เด็กมีอาการชัก พ่อของเขาจึงพาตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลจังหวัดเลย ซึ่งก็ได้รับการตรวจเช็คสมองด้วยคลื่นไฟฟ้า และรักษาไปตามอาการ แต่เด็กก็ยังไม่ดีขึ้น ยังมีอาการชักอยู่บ่อยๆ จึงทำให้พ่อของเขาต้องตัดสินใจเดินทางไกล เพื่อพาลูกมารับการรักษาที่นี่”
ทั้งนี้ ต่อมา นายสันติสุขได้พาลูกน้อยที่ป่วย เดินทางมาโดยรถโรงพยาบาลตากฟ้า มาถึงโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ แพทย์ทีมห้องฉุกเฉินที่เตรียมตัวรอไว้แล้ว จึงพาลูกของนายสันติสุขขึ้นเตียงคนไข้ แล้วพาเข้าห้องเพื่อตรวจอาการและสภาพร่างกายทันที เบื้องต้นได้มีการเอกซเรย์สมองแล้วพบว่า ท่อที่เคยฝังไว้ตันไปหนึ่งเส้น อีกทั้งทราบจากพ่อของเด็กว่า ลูกมีอาการชักต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว จึงอาจจะต้องใช้ยากันชักไปตลอดชีวิต
สอบถาม นายสันติสุข กล่าวว่า ที่ผ่านมา ต้องกลับไปทำมาหากินอยู่ที่จังหวัดเลย จึงพาลูกไปรักษาตัวอยู่ที่นั่นนานกว่า 2 ปี จนกระทั่งต้นปีนี้ เด็กมีอาการหนักขึ้น และชักบ่อย ซึ่งหมอของเด็กที่โรงพยาบาลเลย ก็ได้ตรวจอย่างละเอียดจนพบว่า ท่อระบายน้ำที่ฝังอยู่ในหัวของเด็ก อุดตันไป 1 ข้าง ต้องทำการผ่าออก แต่จะต้องเดินทางไปผ่าตัดยังโรงพยาบาลในจังหวัดอุดรธานี หรือที่จังหวัดขอนแก่นเท่านั้น เพราะชำนาญทางด้านนี้
แต่ด้วยความที่ตนไม่เคยพาลูกไปรักษาที่นั่นมาก่อน จึงตัดสินใจขี่รถซาเล้งพ่วงข้างมาลูกมารักษา รพ.นครสวรรค์ดีกว่า เพราะเป็นโรงพยาบาลแรกที่ทำการผ่าตัดให้ลูก โดยเดินทางมาแล้ว 4 คืน ค่ำที่ไหนนอนที่นั่น ไม่มีเงินไปเช่าพักที่ไหน เพราะพกเงินติดตัวมาแค่ 500 บาทเท่านั้น
ส่วนเรื่องกระแสที่โพสต์กันในโซเชียล ตนไม่ทราบ เพิ่งจะมารู้เรื่องก็ตอนที่มีเจ้าหน้าที่กู้ชีพกู้ภัยมาช่วยเช่นกัน แต่ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา ก็มีคนใจดีแวะมาให้การช่วยเหลือมาตลอดทาง ทั้งให้เงินและซื้อของมาให้ จนกระทั่ง มาถึงเขตอำเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ ได้มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาผ่านมา ได้แวะมาสอบถามก่อนจะไปซื้อของมาให้ พร้อมกับมอบเงิน 100 บาทให้ตนติดตัวเพื่อเดินทางต่อ แล้วเขาก็ไป จึงไม่ทราบเลยว่า เขามีการถ่ายภาพแล้วเอาไปประกาศบนโลกโซเชียลเพื่อช่วยเหลือ ซึ่งตนก็ต้องฝากขอขอบคุณ เขาเป็นคนจิตใจดีมาก.