ศูนย์ข่าวศรีราชา - ส่อวุ่น! ลูกสิงโตนั่งเบนท์ลีย์ชมวิวเมืองพัทยา กรมอุทยานฯ จ่อเอาผิดผู้ครอบครองทั้งเคลื่อนย้ายสัตว์โดยไม่ได้รับอนุญาต สถานที่เลี้ยงยังไม่ได้รับการตรวจสอบ และนำสัตว์ดุร้ายนั่งรถจนอาจสร้างอันตรายต่อผู้อื่น
จากกรณีที่ชาวเน็ตแห่แชร์ภาพชาวต่างชาติขับรถหรูเบนท์ลีย์เปิดประทุน โดยมีลูกสิงโตนั่งอยู่ท้ายรถวิ่งโชว์รอบถนนในเมืองพัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี จนทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ที่ใช้รถใช้ถนนต่างพากันตกใจจนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับการนำสัตว์ดุร้ายมาเลี้ยง โดยเฉพาะยังนำออกโชว์ในแหล่งท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก จนเกรงว่าอาจจะสร้างอันตรายได้นั้น
หลังตกเป็นข่าวโด่งดังจนทำให้เจ้าหน้าที่หลายหน่วยต้องลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ทำให้ช่วงค่ำวานนี้ เจ้าของสิงโตตัวดังกล่าวได้ส่งทนายความเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อแจ้งว่า เจ้าของสิงโตจะเข้าพบเจ้าหน้าที่เพื่อแสดงเอกสารการครอบครองในวันนี้นั้น
ล่าสุด เมื่อเวลา 17.00 น. วันนี้ (24 ธ.ค.) นายก้องเกียรติ เต็มตำนาน ผู้อำนวยการ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 2 (ศรีราชา) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ร่วมตำรวจท่องเที่ยวเมืองพัทยา ตำรวจป่าไม้ ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองชลบุรี และตำรวจ สภ.เมืองพัทยา เข้าตรวจสอบบ้านเลขที่ 354/42 ภายในซอยเขาพระตำหนัก 5 ม.12 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นบ้านที่เลี้ยงลูกสิงโตตัวดังกล่าว
จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ลูกสิงโตได้มีการแจ้งครอบครองสัตว์ป่าควบคุมประเภท ก (สิงโต) ไว้ที่สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) จ.ราชบุรี และปัจจุบันมีอายุประมาณ 9 เดือน หมายเลขไมโครชิปรหัสประจำตัว 900219001878562 น้ำหนักประมาณ 30 กิโลกรัม
ผู้ครอบครองคือ น.ส.ปูเป้ (นามสมมติ) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการแจ้งขออนุญาตนำมาครอบครองที่บ้านเลขที่ 354/42 ม.12 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
ส่วนชาวต่างชาติผิวสีที่ปรากฏในคลิปพาลูกสิงโตนั่งรถเบนท์ลีย์ มูลค่ากว่า 20 ล้านตระเวนชมเมืองพัทยานั้น เบื้องต้น ทราบว่าเป็นนักธุรกิจชาวศรีลังกา อายุ 53 ปี และเดินทางกลับประเทศบ้านเกิดไปแล้วตั้งเมื่อวันที่ 22 ม.ค.ที่ผ่านมา
นายก้องเกียรติ เผยถึงการเลี้ยงสิงโตว่าเป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้เนื่องจากเป็นสัตว์ป่าควบคุมในประเภท ก (สิงโต) แต่ผู้เลี้ยงจะต้องขออนุญาตอย่างถูกต้อง ส่วนกรณีที่เป็นปัญหาคือการนำสิงโตขึ้นรถเปิดประทุนพาชมวิวทั่วเมืองพัทยาถือเป็นเรื่องไม่ถูกต้องและเป็นความผิด เพราะสิงโตเป็นสัตว์อันตรายที่ต้องมีการควบคุม มิฉะนั้นอาจเกิดอันตรายแก่ผู้ใกล้ชิดและผู้อื่นได้
ส่วนเรื่องใบอนุญาตเลี้ยงสัตว์ป่าควบคุมประเภท ก นั้นเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบเลขที่ไมโครชิปว่าตรงกับที่ขออนุญาตไว้หรือไม่ ซึ่งหากตรงกันถือว่าถูกต้อง
“ขณะที่ผู้ครอบครองตอนนี้ทราบแล้วว่าอยู่ในพื้นที่เมืองพัทยา แต่การเคลื่อนย้ายสิงโตมาที่เมืองพัทยาต้องตรวจสอบอีกครั้งด้วยว่าได้มีการขออนุญาตเคลื่อนย้ายแล้วหรือยัง และ เจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่เลี้ยงว่ามีความเหมาะสมแล้วหรือไม่ และหากพบว่ายังไม่ได้รับการอนุญาตให้ทำการเคลื่อนย้ายสิงโตจากราชบุรี มาที่เมืองพัทยา ถือว่าเป็นการกระทำผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ.ป่าไม้และอุทยาน ซึ่งมีโทษปรับ 50,000 บาท จำคุก 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ”
นายก้องเกียรติ ยังเผยอีกว่าในส่วนของชาวต่างชาติที่พาลูกสิงโตนั่งรถตระเวนเที่ยวทั่วเมืองนั้น เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าชาวต่างชาติรายนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสิงโตในด้านใด และเหตุใดจึงนำสิงโตออกไปตระเวนทั่วเมืองเช่นนั้น
“เบื้องต้นกรณีนี้ถือว่าเข้าข่ายมีความผิดในเรื่อง พ.ร.บ.เคลื่อนย้ายสัตว์ดุร้ายโดยไม่มีการแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ ซึ่งในเบื้องต้นได้รับแจ้งจากเจ้าของว่าเป็นเพราะสิงโตป่วยจึงต้องนำไปหาหมอ แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องรอให้เจ้าของสิงโตเข้าพบเจ้าหน้าที่เพื่อตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง”
ส่วนรถที่ชาวต่างชาติรายดังกล่าวนำลูกสิงโตตระเวนขับทั่วเมืองพัทยา จากการตรวจสอบพบว่าเป็นรถเช่าจาก จ.ภูเก็ต
ทั้งนี้ สิงโตเป็นสัตว์ที่เลี้ยงหรือครอบครองได้ แต่ต้องมีใบอนุญาตจากคนขายทุกครั้ง ส่วนรายละเอียดการเลี้ยงอยู่ภายใต้เงื่อนไขห้ามก่อความเดือดร้อนต่อผู้อยู่อาศัย หรือส่งผลกระทบต่อเพื่อนบ้านละแวกใกล้เคียง ซึ่งพื้นที่ใช้เลี้ยงสิงโตต้องมีบริเวณกว้างขวาง กรงอยู่ในพื้นที่ 4 คูณ 4 เมตร ซึ่งหากผู้เลี้ยงไม่ปฏิบัติตามที่ระบุถือว่ามีความผิด