กาญจนบุรี - พ่อค้าขายทุเรียนโอด โดนขโมยยกเค้าหลายรอบ ช้ำสุดหลังกลับจากแจ้งความของที่เก็บไว้หายเกลี้ยงสูญกว่า 2 แสน ส่วน จนท.ทม.ปากแพรก ชื่อดังโดนด้วย วอนตำรวจทลายร้านรับซื้อของโจรให้สิ้นซาก
วันนี้ (24 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พบบุคคลที่ใช้นามว่า “ปุ้ย ไผ่สมจิตร” โพสต์ใบแจ้งความลงในเฟซบุ๊ก พร้อมระบุว่า “ทุเรียนทองผาภูมิ ต้น&ปุ้ย ไผ่สมจิตร ฝากแชร์ หน่อยครับ! จับตัวคนร้ายไม่ได้ วันที่ 12/1/67 (ไปแจ้งความไว้แล้ว) (ของประมาณ 2 คันรถ) โดนขโมยของในโกดังไป มูลค่าเกือบแสนบาท โจรไม่กลัวเกรง ขโมยรอบ2 วันที่ 20-21/1/67 อีกรอบ รอบนี้เอาเฟอร์นิเจอร์ โต๊ะไม้ทั้งหมด 8 ตัว (ต้องใช้รถถึง 4-5 เที่ยวถึงจะขนหมด) มูลค่าประมาณแสนสามหมื่นบาท แต่ที่น่ากลัวคือ รวบรวมของที่ยังเหลืออยู่ แล้วตามร้อยเวรไปที่โรงพักไปประมาณ 1 ชั่วโมง (เวลา 2-3 ทุ่ม) กลับมาของที่รวมไว้หายอีก
“โทร.แจ้งร้อยเวร ร้อยเวรบอกให้ไปแจ้งครั้งที่ 3 แต่ ไม่ไปแล้ว! เก็บของที่เหลือกลับบ้าน เช่าโกดังขายทุเรียน ผมคนทองผาภูมิ เช้ามาเขาโทร.มาแจ้งว่า มาขโมยรอบที่ 4 หลังผมกลับมาแล้วประมาณ 5 ทุ่ม โจรกลุ่มนี้อย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่า 5-8 คนครับ”
“ยอมแล้วครับอยู่ยากจริงๆ เมืองกาญจน์ คนหาเช้ากินค่ำอยากให้จับตัวคนร้ายได้ คนเมืองกาญจน์มีหน่วยงานไหนพอช่วยผมได้บ้างครับผม อยากได้ของ ของผมคืนโจรเมืองกาญจน์ ไม่กลัวกฎหมายฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยครับ ข้อมูลเพิ่มโทร.หาผมครับ 08-1283-8357 ต้น ครับ”
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่พบกับเจ้าของเฟซบุ๊ก ทราบชื่อคือ นายสมยศ พ่วงสมจิตร อายุ 37 ปี เจ้าของโกดังทุเรียนทองผาภูมิสวนไผ่สมจิตร เลขที่ 125/2 หมู่ 1 ต.ท่ามะขาม อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ซึ่งเจ้าตัวเล่าว่า เหตุเกิดครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2567 และได้ไปแจ้งความไว้แล้ว ซึ่งระยะเวลาห่างประมาณอาทิตย์กว่าๆ ก็เกิดเหตุครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2567 วันนั้นร้อยเวรได้ลงพื้นที่มาตรวจสอบในที่เกิดเหตุ และตนได้ตามร้อยเวรไปที่โรงพักเพื่อให้ปากคำ โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
เมื่อตนเดินทางกลับมามาพบว่าเกิดเหตุซ้ำซ้อนครั้งที่ 3 และตนได้รีบโทร.หาร้อยเวร ซึ่งร้อยเวรบอกว่าให้มาแจ้งความเพิ่ม แต่ตนไม่ได้ไป แต่ได้เดินทางกลับบ้านที่อำเภอทองผาภูมิ ในช่วงเวลาประมาณ 22.00 น. และช่วงเช้าคนดูแลโกดังที่เช่าอยู่ได้มาตรวจสอบและพบว่าช่วงระยะเวลาประมาณ 22.00-07.00 น. เกิดเหตุขึ้นอีกเป็นครั้งที่ 4
โดยในครั้งนี้คนร้ายได้ขโมยทรัพย์สินที่อยู่ด้านหลังโกดัง รวมมูลค่าความเสียหาย ประมาณ 2 แสนกว่าบาท อยากวิงวอนเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ช่วยจับกุมคนร้ายให้ได้โดยเร็ว เพราะขณะนี้ลำบาก และรู้สึกว่าทำมาหากินมันยากจริงๆ ซึ่งจากเหตุในครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะสงสัยใครเป็นพิเศษ แต่ก่อนหน้านี้เคยมีคนเข้ามาขโมยทุเรียนที่หน้าร้านในช่วงเวลาประมาณตี 4 ซึ่งเหตุการณ์ในวันนั้นตนสามารถจับผู้ก่อเหตุเอาไว้ได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองกาญจนบุรี ได้เดินทางมารับตัวผู้ก่อเหตุไปดำเนินคดี แต่เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน
“ส่วนตัวเชื่อว่าคนร้ายน่าจะมีไม่ต่ำกว่า 5-6 คนขึ้นไป เพราะทรัพย์สินที่ถูกขโมยไปแต่ละชิ้นมีน้ำหนักมากพอสมควร การที่จะมาคนเดียวหรือ 2 คน คงจะไม่สามารถยกขึ้นไปได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ ขอวิงวอนไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ช่วยติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว เพื่อที่ตนจะได้ทรัพย์สินที่ถูกขโมยไปกลับคืนมา
นายสมยศ พ่วงสมจิตร เล่าว่า สำหรับทรัพย์สินที่ถูกขโมยไปทั้งหมดนั้น ประกอบด้วย เครื่องปรับอากาศ ยี่ห้อมิตซูบิชิ จำนวน 1 เครื่อง ราคาประมาณ 38,000 บาท ตู้แช่ไอศกรีม 1 เครื่อง ราคาประมาณ 12,000 บาท พัดลม ขนาด 18 นิ้ว 1 เครื่อง ราคาประมาณ 1,200 บาท ตะกรัาพลาสติก จำนวน 20 ใบ ราคาประมาณ 3,000 บาท สายไฟ ยาวประมาณ 30 เมตร ราคาประมาณ 2,000 บาท
หลอดไฟ จำนวน 8 ดวง ราคาประมาณ 2,000 บาท กิโลชั่งแบบดิจิทัล 8 ตัว ราคาประมาณ 9,600 บาท เก้าอี้ไม้ 1 ตัว ราคาประมาณ 1,200 บาท อุปกรณ์ขายทุเรียน จำนวน 1 ชุด ราคาประมาณ 20,000 บาท หญ้าเทียม 1 ม้วน ราคาประมาณ 4,500 บาท รวมราคาทรัพย์สินที่ถูกขโมยไปในครั้งแรกประมาณ 93,500 บาท
ทรัพย์สินที่ถูกขโมยไปครั้งที่ 2 ประกอบด้วยโต๊ะไม้ประดู่ 2 ชุด ราคาประมาณ 20,000 บาท โต๊ะเหล็ก 6 ตัว ราคาประมาณ 30,000 บาท เหล็กราวบันได ราคาประมาณ 10,000 บาท ชุดสายไฟโกดัง ราคาประมาณ 30,000 บาท หลังคาเมทัลชีส ราคาประมาณ 20,000 บาท ประตูห้องน้ำ ราคาประมาณ 1,000 บาท ที่นอน 6 ฟุต ราคาประมาณ 25,000 บาท และตะแกรงเหล็ก ราคาประมาณ 1,000 บาท รวมประมาณ 230,500 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากกรณีของ นายสมยศ พ่วงสมจิตร ที่ถูกคนร้ายขโมยทรัพย์แล้ง ยังมีผู้โพสต์เฟซบุ๊กอีก 1 ราย โดยใช้ชื่อเฟซบุ๊กว่า เจ๊ก ปากแพรก โดยได้โพสต์รูปภาพขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมกับระบุว่า
#ตำรวจของประชาชน #พบรับซื้อของโจรโปรดแจ้ง #บทลงโทษต้องเข้มข้น โดน...อีกแล้ว ประตูเหล็กด้านหลังไร่ โดนยกไปไม่เหลือซากเมื่อวานนี้ หลังจากพี่ขโมยยกถัง 500 ลิตร จอบ เสียม ชะแลง อุปกรณ์ทำสวน ไปเมื่อหลังปีใหม่ได้วันเดียว สุดจะทน จึงต้องเข้าแจ้งความ พี่ๆ น้องๆตำรวจ สภ.ลาดหญ้าน่ารักมาก บริการดีสุดๆ รับแจ้งด้วยความกระตือรือร้น ลงพื้นที่ทันที สั่งการให้ จนท.สายตรวจวนดูยามค่ำคืน
ฝากถึง..ร้านรับซื้อของโจรค่ะ ท่านรู้อยู่เต็มอกว่าของโจรท่านก็ยังรับซื้อ ท่านเห็นแก่ได้ โดยไม่กลัวอาญาแผ่นดินไม่เกรงต่อบาป โปรดทราบยุคนี้กรรมติดจรวดนะจ๊ะ ได้น้อย จะเสียมาก รับซื้อของโจร มีความผิด และอาจถูกยึดทรัพย์..นะจะบอกให้
สำหรับเจ้าของเฟซดังกล่าวนั้นคือ นางหัชชพร เสถียรุจิกานนท์ หรือเจ๊ก ปากแพรก เจ้าหน้าที่งานส่งเสริมการท่องเที่ยวเทศบาลเมืองปากแพรก จ.กาญจนบุรี และเป็นนักจัดกิจกรรมชื่อดังของจังหวัดกาญจนบุรี โดยนางหัชชพร เล่าว่า ขณะนี้ตนได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักจากกรณีที่มีหัวขโมยของในไร่ ซึ่งในวันที่ขโมยเข้าไปโชคดีที่ไม่มีคนอยู่จึงไม่มีใครได้รับอันตรายใดๆ
ซึ่งเราเป็นเพียงแค่ข้าราชการตัวน้อยๆ เงินเดือนก็ไม่มาก เราได้ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาโดยตลอด เราได้พลิกฟื้นผืนดินของเราเพื่อนำมาปลูกพืชปลูกผักปลูกไม้ยืนต้นที่กินได้ ซึ่งเราได้ทำรั้วรอบขอบชิดในพื้นที่ไร่ของเรา มีทั้งประตูและทิ้งอุปกรณ์การทำไร่เอาไว้ ซึ่งไม่ได้มีมูลค่าอะไรมากมาย แต่ที่เสียใจคือเงินที่เราเก็บหอมรอมริบไว้มาซื้ออุปกรณ์ แต่มาถูกหัวขโมยมายกประตูเข้าไร่ไปเลย กว่าเราจะรวบรวมเงินมาซื้ออุปกรณ์เหล่านี้ได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
สำหรับไร่ของตนตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ 1 ต.วังด้ง อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ทรัพย์สินที่ถูกขโมยไปนั้นมีราคารวมกันประมาณกว่า 1 หมื่นบาท ที่สำคัญขโมยไม่ได้เข้าลักเอาทรัพย์สินของตนเพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะบ้านที่อยู่ใกล้กันถูกขโมยทรัพย์สินไปหลายหลังด้วยกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอุปกรณ์ทางการเกษตร เช่นปั๊มน้ำไดโว่ที่ใช้สูบน้ำเข้าพื้นที่การเกษตรในไร่ ซึ่งชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนหลายครัวเรือนด้วยกัน
การที่ขโมยได้ทรัพย์สินต่างๆ ไปนั้นส่วนใหญ่เป็นทรัพย์สินที่ซื้อง่ายขายคล่องเนื่องจากขโมยเอาไปขายในราคาที่ถูก ร้านรับซื้อคงจะหนีไม่พ้นร้านประเภทรับซื้อของเก่า ดังนั้นหากเป็นไปได้ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่ตรวจสอบร้านรับซื้อของเก่าที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นของโจร ขอให้สนธิกำลังทลายขบวนการรับซื้อของโจรให้สิ้นซากไปจากเมืองกาญจน์ ไม่เช่นนั้นประชาชนคงต้องได้รับความเดือดร้อนกันต่อไปอย่างแน่นอน