จันทบุรี - หัวหน้าชุดควบคุมทหารพรานนาวิกโยธินที่ 2 จันทบุรี ระบุอาวุธที่ตรวจพบในสวนลำไยบ้านซับตารี หากถูกขายในตลาดมืดจะมีราคาสูงถึงกระบอกละ 20,000 บาท ขณะประเทศเพื่อนบ้านประสานขอตรวจสอบข้อมูลหวั่นเป็นอาวุธหายจากคลัง
จากกรณีที่เจ้าหน้าที่กองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด โดยชุดควบคุมทหารพรานนาวิกโยธินที่ 2 จันทบุรี ได้ร่วมกับร้อยทหารพรานนาวิกโยธิน 523 บ้านซับตารี ร้อยทหารพราน 526 บ้านบ่อยาง ได้ตรวจพบวัตถุต้องสงสัยลักษณะถูกห่อด้วยถุงปุ๋ยพันด้วยเทปกาวถูกทิ้งไว้ที่ชายป่าข้างสวนลำไยบ้านซับตารี ห่างจากชายแดนไทย-กัมพูชา 1 กม. ต.สะตอน อ.สอยดาว จ.จันทบุรี
พบเป็นอาวุธสงครามพร้อมเครื่องกระสุนจำนวนมาก จึงตรวจยึดเพื่อตรวจสอบว่าเป็นอาวุธปืนมาจากที่ใดนั้น
ล่าสุด เมื่อเวลา 13.15 น. วันนี้ (23 ม.ค.) เจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานจังหวัดจันทบุรี ได้เข้าตรวจสอบและเก็บหลักฐานจากอาวุธสงคราม ประกอบด้วย ปืนเอ็ม 16 จำนวน 15 กระบอก ปืน AK47 จำนวน 22 กระบอก เครื่องยิงลูกระเบิดขนาด 40 มม.(M203) จำนวน 1 กระบอก ชิ้นส่วน ปก. 12.7 มม. จำนวน 1 ชิ้น (ไม่สามารถใช้งานได้) ซึ่งเป็นอาวุธติดตั้งบนยานเกราะสำหรับต่อสู้อากาศในระยะต่ำ
และยังมีเครื่องกระสุนรวมทั้งลูกปืนขนาด 12.7 มม. สำหรับยิงระยะไกลและอากาศยาน อีกจำนวน 510 นัด ซองบรรจุกระสุน AK47 จำนวน 20 ซอง
โดยเจ้าหน้าที่ใช้เวลาในการเก็บหลักฐานประมาณ 2 ชั่วโมง พบรอยนิ้วมือแฝงที่กล่องบรรจุกระสุนและอาวุธปืนจำนวนมาก ซึ่งหลังจากนี้จะได้ส่งผลการตรวจไปที่พิสูจน์หลักฐาน 2 ชลบุรี ส่วนอาวุธสงครามทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่ สภ.สะตอน เพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน
ขณะที่ น.อ.เอกรินทร์ จิรวงศ์นุสรณ์ หัวหน้าชุดควบคุมทหารพรานนาวิกโยธินที่ 2 จันทบุรี เผยว่า ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ได้รับรายงานมาระยะหนึ่งแล้วว่าจะมีสิ่งของผิดกฎหมายถูกนำข้ามแดนเข้ามาในพื้นที่ จ.จันทบุรี จึงมอบหมายให้เจ้าหน้าที่เพิ่มความเข้มงวดในการลาดตระเวน
กระทั่งเมื่อเวลา 12.30 น.วานนี้ ชุดลาดตระเวนตรวจพบกระสอบปุ๋ย 2 ใบข้างสวนลำไยห่างจากชายแดนไทย-กัมพูชา 1 กิโลเมตร จึงเข้าตรวจสอบและพบอาวุธสงครามจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้ยังไม่รู้ปลายทางจะถูกนำส่งไปที่ใด
และหลังจากนี้จะเพิ่มความเข้มงวดในการลาดตระเวนให้มากขึ้น เนื่องจากตลอดแนวรับผิดชอบ 34.7 กิโลเมตร ที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านช่วงหน้าแล้งสามารถข้ามมาได้ง่าย เนื่องจากน้ำในคลองแห้ง
“สิ่งสำคัญขณะนี้ยังมีขบวนการโจรกรรมรถจักรยนต์ข้ามแดนก่อเหตุมากขึ้นด้วย และยังมีรายงานว่า อาวุธสงครามดังกล่าวโดยเฉพาะปืนเอ็ม 16 และปืน AK47 หากหลุดรอดออกไปในตลาดมืดจะซื้อขายกันถึงกระบอกละ 10,000-20,000 บาท และคาดว่าอาวุธทั้งหมดจะถูกส่งไปประเทศที่ 3 เนื่องจากพบชิ้นส่วน ปืนกล 12.7 มม. จำนวน 1 ชิ้น ซึ่งเป็นอาวุธติดตั้งบนยานเกราะสำหรับต่อสู้อากาศในระยะต่ำ พร้อมด้วยเครื่องกระสุนปืนขนาด 12.7 มม. 510 นัด ที่ไม่มีกลุ่มใดใช้ในประเทศไทย”
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้รับข้อมูลเพิ่มเติมว่า อาวุธสงครามที่เจ้าหน้าที่ตรวจยึดได้ในครั้งนี้ ฝ่ายความมั่นคงระบุว่าเป็นอาวุธที่ใช้ในช่วงสงครามระหว่างเขมรแดงและทหารกัมพูชา ซึ่งภายหลังเขมรแดงพ่ายแพ้สงคราม ทางการกัมพูชาได้เรียกเก็บเข้าคลังทั้งหมดจึงทำให้อาวุธที่ตรวจพบอยู่ในสภาพสมบูรณ์และใช้งานได้ทันที
และล่าสุดยังมีข้อมูลว่า ฝ่ายความมั่นคงประเทศเพื่อนบ้านได้ประสานมายังหน่วยงานของไทย เพื่อขอทราบข้อมูลการตรวจยึดอาวุธสงครามในครั้งนี้แล้ว เพื่อใช้ตรวจสอบร่วมกับคลังอาวุธของตน