อุบลราชธานี - สมเด็จพระมหาธีราจารย์เดินหน้าสร้างพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร ใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของโลก
เป็นพระประธานในพุทธมณฑลอุบลราชธานี ถวายในหลวง ร.๑๐ ตั้งเป้าสร้างเสร็จใน 5 ปี เชิญพุทธศาสนิกชนที่มีแรงศรัทธาร่วมบริจาคเพื่อสร้างพระไว้ในร่มพุทธศาสนาให้คงอยู่นับนานพันปี
เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นองค์ประธานในการประชุมสามัญประจำปี 2567 ของคณะกรรมการมูลนิธิพุทธมณฑลอุบลราชธานี ณ ศาลาชินโสภณพาณิชย์ วัดยางน้อย ต.ก่อเอ้ อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี ทั้งนี้เพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับทราบถึงความก้าวหน้าของโครงการก่อสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่จะประดิษฐานอยู่ ณ พุทธมณฑลอุบลราชธานี โดยเป็นพระพุทธรูปประทับยืน ปางห้ามสมุทร ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของโลก กว้าง 42 ม. สูงจากพระบาทถึงยอด 95 เมตร และสูงจากฐานถึงยอด 137 เมตร
ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณการก่อสร้างราว 10,000 ล้านบาท เพื่อถวายเป็นราชสักการะแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ เนื่องในโอกาสที่พระองค์ทรงขึ้นครองสิริราชสมบัติ และทรงเจริญพระชนมายุครบ 6 รอบ 72 พรรษาในปี 2567 โดยวิธีการออกแบบจะเป็นพระพุทธรูปที่สร้างด้วยโลหะระหว่างทองแดงกับสเตนเลสที่จะมีความคงทนถาวรและมีอายุอยู่ได้ร่วมพันปี
สมเด็จพระมหาธีราจารย์เปิดเผยว่า โครงการก่อสร้างพุทธมณฑลเกิดขึ้นเนื่องจากรัฐบาลไทยและคณะสงฆ์โดยมหาเถรสมาคมแห่งประเทศไทย ได้มีการพิจารณาเห็นชอบร่วมกันว่าให้มีการจัดตั้งพุทธมณฑลขึ้นในประเทศไทยทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจทางธรรมะของประชาชน รวมทั้งใช้เป็นสถานที่ให้ประชาชนร่วมกันทำคุณงามความดี ประกอบกิจกรรมทั้งทางศาสนาและวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม รวมทั้งสามารถใช้เป็นที่ออกกำลังกายและเล่นกีฬาที่ไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีงามของท้องถิ่นและประเทศชาติ
แต่เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนงบประมาณในการก่อสร้าง ทำให้หลายจังหวัดไม่มีความคืบหน้า มีเพียงบางจังหวัดที่มีความพร้อมและความร่วมมือร่วมใจกันของประชาชนที่สามารถก่อสร้างได้สำเร็จ อาทิ จ.นครปฐม ซึ่งพุทธมณฑลอุบลราชธานีก็เป็นอีกแห่งที่โครงการยังค้างอยู่และมีความคืบหน้าไม่มากเท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม จ.อุบลราชธานี เป็นจังหวัดใหญ่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงร่วมกันผลักดันมาโดยตลอด โดยได้จัดตั้งเป็นมูลนิธิพุทธมณฑลอุบลราชธานีขึ้น
และมีมติให้อาตมาภาพเป็นประธานมูลนิธิฯ มีบุคคลสำคัญต่างๆ ใน จ.อุบลราชธานี ร่วมเป็นคณะกรรมการ นอกจากนั้นยังมีคณะกรรมการดำเนินงานซึ่งได้เลือกสรรกัน โดยดำเนินการมา 20 กว่าปีแล้ว แต่ก็ยังไม่คืบหน้ามาก ดังนั้นอาตมาจึงพยายามเร่งรัด ขณะนี้มีความคืบหน้าไปในขั้นเลือกสถานที่ก่อสร้างคือใช้พื้นที่ริมถนนแจ้งสนิท บริเวณกิโลเมตรที่ 30 เส้นทางมุ่งหน้าไปทาง จ.ยโสธร นั่นคือ จุดที่บ้านยางน้อย ต.ก่อเอ้ อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี ในเนื้อที่ 2 แปลง รวมแล้วประมาณ 300 ไร่
สมเด็จพระมหาธีราจารย์กล่าวต่อไปว่า เบื้องต้นได้ออกแบบพระปฏิมาเป็นองค์ต้นแบบมาแล้ว และกำลังพัฒนาขนาดให้มีความเหมาะสม พร้อมทั้งให้มีความมั่นคงถาวรให้อยู่ได้หลายร้อยหรือพันปี เนื่องจากเป็นพระพุทธรูปประทับยืน การออกแบบโครงสร้างจึงต้องเป็นโลหะผสมระหว่างทองแดงกับสเตนเลส ซึ่งพระพุทธรูปลักษณะนี้มีการก่อสร้างขึ้นในประเทศไทยแล้วหนึ่งที่ จ.กาญจนบุรี โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ก่อสร้างเสร็จไปแล้ว
แต่ที่จะสร้างขึ้นที่พุทธมณฑลอุบลราชธานี จะเป็นพระพุทธรูปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมีความกว้าง 42 เมตร สูงจากพระบาทไปจนถึงยอดพระเศียร 95 เมตร ซึ่งตรงกับพระสูติกาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ ซึ่งทรงพระประสูติกาลในปี พ.ศ. 2595 และหากรวมจากฐานถึงยอดพระเศียรจะมีความสูงทั้งสิ้น 137 เมตร จะถือเป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากอันดับ 1 อินเดีย 240 ม. และอันดับ 2 จีน 153 ม. ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าการก่อสร้างเกือบหนึ่งหมื่นล้านบาท
โดยท่านที่มีจิตศรัทธาอยากจะร่วมสร้างสามารถร่วมบริจาคได้ที่อาตมา สมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรุงเทพฯ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสมทบกันคนละเล็กละน้อยร่วมกัน และพระปฏิมาองค์นี้จะถือเป็นหัวใจหลักของโครงการพุทธมณฑลอุบลราชธานี โดยตั้งใจว่าจะให้แล้วเสร็จภายใน 5 ปี