ประจวบคีรีขันธ์ - อุทยานแห่งชาติกุยบุรี พร้อมทีมสัตวแพทย์เร่งช่วยช้างป่าบาดเจ็บ เพศผู้ 1 ตัว น้ำหนักประมาณ 3,000 กิโลกรัม อายุประมาณ 25-30 ปี อาการบวมและอักเสบอย่างรุนแรงบริเวณโคนหางและอวัยวะเพศ
นายอรรถพงษ์ เภาอ่อน หัวหน้าอุทยานแห่งชาติกุยบุรี เผยว่า ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี พบความผิดปกติของช้างป่า เพศผู้ 1 ตัว น้ำหนักประมาณ 3,000 กิโลกรัม อายุประมาณ 25-30 ปี ซึ่งช้างป่ามีอาการบวมและอักเสบอย่างรุนแรงบริเวณโคนหางและอวัยวะเพศ และพบดวงตาด้านซ้ายมีลักษณะเป็นฝ้าขาว ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี ดำเนินการดูแลช้างป่าอย่างใกล้ชิด ติดตามอาการ ให้ยาแก้ปวด ยาอักเสบ โดยใส่กล้วยน้ำว้า และขนุน โดยให้การดูแลที่ทำการอุทยานแห่งชาติกุยบุรี ท้องที่หมู่ที่ 9 บ้านย่านซื่อ ตำบลหาดขาม อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ล่าสุด สัตวแพทย์ประจำสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 สาขาเพชรบุรี และสัตวแพทย์ กลุ่มงานสุขภาพสัตว์ป่า สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี ดำเนินการประชุมวางแผนการรักษาช้างป่าตัวดังกล่าวในช่วงเช้าของวันที่ 9 ม.ค.ที่ผ่านมา แต่เนื่องด้วยช้างป่าตัวดังกล่าวได้เดินออกนอกพื้นที่ เจ้าหน้าที่จึงได้ร่วมกันตามหา และผลักดันกลับมาสถานที่ที่เตรียมไว้เพื่อการรักษา จนกระทั่งเวลา 16.00 น. เจ้าหน้าที่ได้ผลักดันกลับมาจนสำเร็จ ทีมสัตวแพทย์จึงได้ยิงยาซึมเพื่อทำการรักษา
โดยมีบาดแผลที่โคนหางและอวัยวะเพศ มีลักษณะเป็นแผลเปิดมีหนองไหลออกมาและมีกลิ่นเหม็น จึงได้เริ่มยิงยาซึมเวลา 17.04 น. ช้างเดินออกจากจุดที่ยิงยาประมาณ 200 เมตร และหยุดนิ่ง เวลา 17.38 น. เข้าเช็กเพื่อดูว่าจะเริ่มปฏิบัติงานได้ไหม เมื่อเข้าเช็กแล้วพบว่าสามารถเข้าปฏิบัติงานได้จึงเริ่มเข้าเก็บตัวอย่างเลือดเพื่อเช็กสุขภาพ ให้น้ำเกลือและยาปฏิชีวนะเข้าทางเส้นเลือดที่ใบหู เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้ช้างป่าที่บาดเจ็บ หลังจากนั้นฉีดยาปฏิชีวนะ ยาลดปวด และวิตามิน พร้อมกับทำแผลโดยทำการล้างบาดแผลด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อและน้ำเกลือล้างแผล หลังจากที่รอให้ยาปฏิชีวนะเข้าเส้นเลือดจนหมดจึงได้ทำการให้ยาแก้ปวด เวลา 18.53 น. และหลังจากที่ให้ยาแก้ปวดไป 2 นาที ช้างสามารถกลับตัวและขยับตัวได้ ขณะนี้ได้ใช้โดรนบินเพื่อติดตามอาการช้างป่าอย่างใกล้ชิด และหลังจากนี้จะมีการให้ยาปฏิชีวนะและยาลดอักเสบแบบกินอย่างต่อเนื่องอย่าง 14 วัน และดูบาดแผลร่วมกับประเมินอาการอีกครั้งหนึ่ง