xs
xsm
sm
md
lg

คดีเงินกู้อุทัยธานีส่อพลิก! หนุ่มเจ้าของเงินโต้กลับ ถูกชวนลงทุนแลกผลตอบแทนสูงก่อนโดนเบี้ยว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



อุทัยธานี - “นายยะ” หอบเอกสารโชว์ ขอท้าชนนักธุรกิจสาวคนร้องเพจสายไหมต้องรอด อ้างถูกนายทุนเงินกู้อุทัยธานีรีดดอก 3 เดือนร่วมล้าน ยันเป็นคนตัดอ้อยธรรมดา ไม่ใช่เจ้าพ่อเงินกู้ แถมถูกเสนอร่วมลงทุนแลกผลกำไรสูง ก่อนเบี้ยวไม่ยอมจ่าย


ความคืบหน้ากรณีนักธุรกิจสาวชาวจังหวัดอุทัยธานีรายหนึ่งได้เข้าร้องเรียน “เพจสายไหมต้องรอด” ว่าเป็นหนี้นอกระบบ เป็นเงินจากชายคนหนึ่งชื่อว่า “นายยะ” ยอดเงินต้นจำนวน 200,000 บาท โดยต้องจ่ายดอกเบี้ยวันละ 3,500 บาท รวมระยะเวลาประมาณ 3 เดือน จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ครั้งนี้ไปแล้ว 940,000 บาท รวมทั้งอ้างว่าถูกนายปิยะนั้นข่มขู่เอาชีวิตคนในครอบครัว หลังเจ้าตัวขาดส่งเงินค่าดอกเบี้ยรายวันมา 3 วัน

ล่าสุดบ่ายวันนี้ (7 ม.ค. 67) นายปิยะ ทองจันทร์ อายุ 37 ปี ชาวบ้านหมู่ที่ 14 ต.หนองกระทุ่ม อ.ทัพทัน จ.อุทัยธานี พร้อมด้วยภรรยาและผู้เสียหายอีกหลายราย ได้นำเอกสารหลักฐาน ทั้งสัญญากู้ยืมในการลงทุนทำธุรกิจ พร้อมให้ค่าตอบแทนเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ ตลอดจนสลิปการโอนเงิน ทั้งจากที่ตนเองได้โอนไปให้ผู้ร้อง คือ นางสาวอุไรวรรณ และจากที่นางสาวอุไรวรรณได้โอนยอดคืนมาทั้งหมด เดินทางมาที่ สภ.หนองฉาง เพื่อขอใช้พื้นที่ชี้แจง

โดยระบุว่าตามที่นางสาวอุไรวรรณได้ร้องผ่านทางเพจสายไหมต้องรอดนั้น ไม่เป็นความจริง ขอให้ทางตนได้มีสิทธิ์พูดบ้าง เพราะไม่ใช่เป็นการกู้ยืมเงินนอกระบบตามที่ทางนางสาวอุไรวรรณได้กล่าวอ้าง แต่เป็นการให้เงินก้อนดังกล่าวนั้นไปร่วมลงทุนธุรกิจที่นางสาวอุไรวรรณได้เสนอชักชวนมาและให้ผลตอบแทนดี

นายปิยะยืนยันว่าตนเองไม่ได้มีการปล่อยเงินกู้นอกระบบให้กับนางอุไรวรรณอย่างที่เป็นข่าวออกไป แต่เป็นการให้เงินร่วมลงทุนทำธุรกิจ ซึ่งส่วนตัวไม่ได้รู้จักกับนางสาวอุไรวรรณ เป็นการรู้จักกันผ่านทางโซเชียลมีเดีย เริ่มแรกนั้นทางนางสาวอุไรวรรณได้เสนอให้ตนนำเงินมาร่วมลงทุนในธุรกิจ ซึ่งให้ผลกำไรเป็นดอกเบี้ยในจำนวนที่สูงพอสมควร

ซึ่งตนก็เห็นว่านางสาวอุไรวรรณให้ค่าตอบแทนดี จึงได้หาเงินจากญาติพี่น้องและป้าๆ นำไปร่วมลงทุนกับนางสาวอุไรวรรณเพิ่ม โดยมีการทำสัญญากันเอาไว้เพื่อให้เกิดความสบายใจทั้งสองฝ่าย และที่ผ่านมานางสาวอุไรวรรณก็ได้ส่งเงินคืนมาให้-ไม่มีปัญหาอะไร

จนระยะหลังประมาณ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา นางสาวอุไรวรรณขาดการส่งเงินต้นและผลกำไรให้กับตนอย่างที่เคยส่งคืนมาให้ จึงทำให้ตนกังวลใจมาก พยายามติดต่อทวงเงินดังกล่าวคืน แต่นางสาวอุไรวรรณก็บ่ายเบี่ยงบ้าง ไม่รับสายบ้าง ติดต่อไม่ได้บ้าง กระทั่งเมื่อวานนี้ (6 ม.ค. 67) นางสาวอุไรวรรณก็ได้ไปร้องผ่านเพจสายไหมฯ ซึ่งตอนนั้นตนก็ยังไม่ทราบ

“จังหวะหนึ่ง ระหว่างทวงถามนางสาวอุไรวรรณได้พูดขึ้นมาว่า ไม่มีความสามารถที่จะใช้เงินก้อนดังกล่าวคืนได้แล้ว พอได้ยินแบบนี้จึงทำให้ผมเกิดโมโหบันดาลโทสะใช้ถ้อยคำหยาบคายไปซึ่งไม่ได้ตั้งใจ แต่เพราะไม่ใช่แค่เงินของผมคนเดียว แต่เป็นเงินของพี่ป้าน้าอาที่ได้ไปหยิบยืมต่อมาอีกทอดหนึ่งด้วย ขณะที่ผมก็หาเช้ากินค่ำ ไม่ได้มีเงินมากมายอย่างที่ทุกคนคิด ขอยืนยันว่าไม่ได้เป็นการปล่อยเงินกู้นอกระบบ และผมก็ไม่ได้มีอาชีพปล่อยเงินกู้ แต่เป็นการลงทุนธุรกิจร่วมกับนางสาวอุไรวรรณตามที่ได้มีการทำสัญญากันเอาไว้เท่านั้น”

ดังนั้นก็อยากจะขอความเป็นธรรมให้กับทางตนด้วยว่า เหตุการณ์นั้นไม่ได้เป็นไปตามอย่างที่นางสาวอุไรวรรณได้ร้องผ่านทางเพจสายไหมฯ ตามที่ได้เป็นข่าวออกไป อยากขอให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องได้ให้ความเป็นธรรมแก่ตนด้วย และอยากจะให้นางสาวอุไรวรรณรับผิดชอบกับยอดเงินที่ได้นำของตัวเองและญาติพี่น้องไปมาคืน


“ต้องขอท้าชนกับเรื่องนี้ให้ถึงที่สุดเพราะผมไม่ได้ทำผิด ถ้าผลสรุปออกมาว่าผมผิดก็จะยอมติดคุก แต่ขอให้ได้ออกมาพูดความจริงบ้าง เพราะเหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่เพียงแต่ทำให้ผมเสียหายอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังทำให้จังหวัดอุทัยธานีเสียหายไปด้วย ผมยอมไม่ได้ อยากบอกว่าอุไรวรรณไม่ใช่ผู้เสียหาย ผมต่างหากที่เป็นผู้เสียหายตัวจริง โดยวันพรุ่งนี้ผมพร้อมด้วยภรรยาและป้าๆ ที่เสียหายทุกคนจะเดินทางไปพบนายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่กระทรวงฯ เพื่อขอความช่วยเหลือและขอความเป็นธรรม”

ด้าน พ.ต.อ.ภคิน วรรณศรี ผกก.สภ.หนองฉาง เปิดเผยว่า หลังจากที่มีการร้องเรียนเรื่องดังกล่าวผ่านทางเพจสายไหมฯ ออกไปตามที่เป็นข่าวอยู่ขณะนี้ ทางเราก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้สั่งการให้ชุดสืบสวนป้องกันปราบปรามลงพื้นที่ติดตามตัวฝั่งคู่กรณีซึ่งก็คือ นายยะ ซึ่งปรากฏว่าได้พบตัวจริงคือนายปิยะ พร้อมกับภรรยา ได้มีการสอบถามความเป็นจริง โดยทางฝั่งนายยะและภรรยาจึงได้ขอใช้สถานที่ของ สภ.หนองฉาง เป็นพื้นที่ในการแถลงชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในฝั่งของตัวเองบ้าง

แต่ส่วนเนื้อหาที่เขาจะแถลงข่าวเป็นอย่างไรนั้นต้องเป็นสิทธิ์ของเขา เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปก้าวก่ายได้ ทางเราทำได้แต่เพียงอย่างเดียวคือจัดสถานที่ให้ตามที่ร้องขอเท่านั้น ส่วนทางด้านกฎหมาย ตอนนี้ยังไม่ปรากฏความผิดเกิดขึ้นในเขต สภ.หนองฉาง เพราะเท่าที่ทราบข้อมูลคร่าวๆ ว่านางสาวอุไรวรรณออกจากบ้านไปประมาณ 3-4 ปี

และจากข้อมูลของพ่อ-พี่ชายเขาเอง ก็บอกว่านางสาวอุไรวรรณไปอยู่ที่กรุงเทพฯ ประกอบกิจการอะไรเราก็ไม่รู้ แล้วมีการขอกู้เงินกันทางโซเชียลฯ ซึ่งมีข้อมูลเพียงว่านางสาวอุไรวรรณแจ้งกับเพจสายไหมฯ ว่าเขาถูกข่มขู่ว่าจะมีการมาทำร้ายร่างกายคนทุกคนในบ้าน ซึ่งเมื่อเราลงพื้นที่ก็ไม่ปรากฏว่ามีบุคคลใดหรือว่าผู้ใดที่จะเข้ามาข่มขู่ทั้งญาติทั้งพี่น้องทั้งบ้านของเขาแต่อย่างใด แต่เพื่อความสบายใจ เราก็จัดการเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปดูแลให้เท่านั้น


กำลังโหลดความคิดเห็น