รัฐฉาน เมียนมา - สถานการณ์สงครามรัฐฉานเหนือ ศูนย์กลางแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทั้งทางการจีน ทหารเมียนมา และกลุ่มโกกั้ง 2 กลุ่มยังซัดกันนัวข้ามปี..ไล่ตั้งแต่ “ปฏิบัติการ 1020” ภายใต้เงาจีน จนถึง Three Brotherhood Alliance ที่เปิดปฏิบัติการ 1027
เขตปกครองตนเองโกกั้ง ตอนเหนือของรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ติดชายแดนจีน เป็นเขตอพยพของชาวจีนฮั่น นำโดยคนตระกูลหยาง ส่วนใหญ่มาจากเมืองนานกิง ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 23 แต่ก็ถือว่าอยู่ในเขตอิทธิพลของจีนอยู่ กระทั่งอังกฤษเข้ายึดครองเมียนมาจึงผนวกให้มาอยู่กับรัฐฉาน ประเทศเมียนมา
จนหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษถอนตัวและพรรคคอมมิวนิสต์หมดอิทธิพลลงในเขตนี้ ทำให้ชาวจีนโกกั้งได้ปกครองดินแดนแต่มีการเปลี่ยนแปลงผู้นำจากตระกูลหยางไปเป็นคนตระกูลอื่น ควบคู่กับการต่อสู้กับทหารเมียนมาที่พยายามจะผนวกดินแดนแห่งนี้เข้ากับรัฐฉานอย่างเบ็ดเสร็จ
กระทั่ง เผิง จาเซิง ขึ้นเป็นผู้นำโกกั้ง ก็ได้จัดตั้งกองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติเมียนมา (Myanmar National Democratic Alliance Army: MNDAA) ซึ่งเป็นช่วงเดียวกันกับที่กองทัพเมียนมาได้หันมาเจรจาสงบศึกกับกองกำลังชนกลุ่มน้อยต่างๆ รวมถึง MNDAA ในปี 2532
ต่อมา พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้นำประเทศเมียนมาในขณะนี้ได้เข้ารับตำแหน่งพลตรีในฐานะผู้บัญชาการกองทัพภาคสามเหลี่ยม ซึ่งปกครองรัฐฉานตะวันออกในปี 2545 ได้เข้าเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการเจรจากับกองทัพสหรัฐว้า (UWSA) และ MNDAA จนบรรลุข้อตกลงให้มาอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลเมียนมา เกิดเป็นเขตปกครองพิเศษที่ 2 (สหรัฐว้า) ในปี 2553 แต่ไม่บรรลุข้อตกลงกับ MNDAA
เนื่องจาก เผิง จาเซิง ต้องการพัฒนาพื้นที่เขตโกกั้งโดยไม่มีการผลิตยาเสพติด รวมทั้งไม่ต้องการให้ MNDAA เปลี่ยนสถานะไปเป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (Border Guard Force : BGF) สังกัดกองทัพเมียนมา ตามข้อเสนอของรัฐบาลทหารเมียนมาในปี 2551
ด้วยเหตุนี้ ในปี 2552 จึงเริ่มปรากฏชื่อของนายพล มิน อ่อง หล่าย ที่นำกำลังบุกเข้าไปในเขตโกกั้ง โดยกล่าวหาว่าเป็นพื้นที่ผลิตยาเสพติดและร่วมมือกับอดีตรองผู้นำโกกั้งเข้ายึดอำนาจการปกครองเขตโกกั้งมาจาก MNDAA และขับไล่ MNDAA ให้พ้นจากพื้นที่ไป จากนั้นได้ประกาศให้เป็นเขตปกครองตนเองโกกั้งได้สำเร็จ สถาปนา “ไป๋ โซ่ว เฉิง อดีตรองผู้นำฯ” ขึ้นเป็นผู้นำโกกั้งคนใหม่แทน
เผิง จาเซิง จึงได้นำกำลังออกไปตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ในป่าและตะเข็บชายแดนเมียนมา-จีน และพยายามจะนำกำลังบุกเข้ายึดครองอำนาจคืนหลายครั้งแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ กระทั่งต้นปี 2565 เผิง จาเซิง ได้เสียชีวิตด้วยโรคชราในวัย 94 ปี ทำให้ “เผิง เต๋อเหยิน” บุตรชายขึ้นมาปกครอง MNDAA แทน แต่ก็ยังไม่สามารถยึดอำนาจกลับคืนมาได้
จนถึงช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาได้เกิดขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ระบาดอย่างหนัก โดยใช้พื้นที่เมืองใหญ่ตามชายแดนเป็นฐานในการโทรศัพท์หรือเชื่อมระบบอินเทอร์เน็ต หลอกลวงเหยื่อให้เข้าไปลงทุนหรือโอนเงินลงทุนแบบปลอมๆ ซึ่งกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือชาวจีนที่มีทั้งถูกหลอกให้เข้าร่วมแก๊งและตกเป็นเหยื่อในการโอนเงิน
ทางการจีนได้พยายามเจรจากับรัฐบาลประเทศเมียนมาทั้งในยุคที่เป็นรัฐบาลผสมกึ่งพลเรือน-ทหารและยุครัฐบาลทหาร เพื่อให้ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์โดยเฉพาะที่เขตปกครองตนเองโกกั้ง เนื่องจากมีชาวจีนถูกหลอกไปทำงานที่เมืองเล่าก์ก่าย เมืองหลวงของเขตนี้เป็นจำนวนมาก แต่หลายปีผ่านไปการปราบปรามก็ไม่เกิดขึ้น
ทางการจีนส่งสายลับเข้าไปตรวจสอบก็พบผู้ที่มีบทบาทและอิทธิพลในเขตปกครองตนเองโกกั้ง 4 ตระกูล คือตระกูลไป๋ ตระกูลหลิว ตระกูลเว่ย และตระกูลหลิว (ชื่อซ้ำกัน) ทั้งหมดเป็นพันธมิตรกับตระกูลหมิง และเกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจแก๊งคอลเซ็นเตอร์
อย่างไรก็ตาม ในปี 2566 สายลับของจีนที่ถูกส่งเข้าไปในพื้นที่โกกั้งกลับถูกสังหารเสียชีวิตทั้งหมด นำมาสู่ “ปฏิบัติการ 1020” โดยใช้สารพัดวิธีในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างหนัก ทั้งขอความร่วมมือไปยังเมืองต่างๆ เช่น จ.เมียวดี จ.ท่าขี้เหล็ก เขตปกครองพิเศษที่ 2 (สหรัฐว้า) ประเทศเมียนมา ฯลฯ รวมถึงใน สปป.ลาว ไทย กัมพูชา จนสามารถช่วยเหลือชาวจีนให้กลับประเทศได้อย่างน้อย 3,000-4,000 คน และจับกุมแก๊งซึ่งพบว่าส่วนใหญ่เป็นชาวจีน หรือจีนเทาส่งไปดำเนินคดีได้เป็นจำนวนมาก
ส่วนในเขตปกครองตนเองโกกั้งที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือและกลับโยกย้ายเหยื่อรวมทั้งฆ่าสายลับจีนจนเสียชีวิตไปหลายคนนั้น ได้ปรากฏกองกำลัง MNDAA ที่คราวนี้ร่วมกับพันธมิตรคือ กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติตะอาง (TNLA) และกองทัพยะไข่ (AA) รวมตัวเป็น Three Brotherhood Alliance ได้เปิดปฏิบัติการ 1027 หรือเริ่มต้นวันที่ 27 ต.ค. 2566 โดยบุกเข้าโจมตีฐานที่มั่นของทหารเมียนมาและทหารโกกั้งที่เป็น BGF ที่มี “ไป๋ โซ่ว เฉิง” เป็นผู้นำ
ทำให้สงครามในรัฐฉานเหนือโด่งดังไปทั่วโลกในฐานะกองกำลังที่มีอาวุธทันสมัยและทำให้ทั้งทหารเมียนมา-BGF โกกั้งถอยร่น กระทั่งต้นเดือน ธ.ค. 2566 ก็ปรากฏภาพกองกำลัง MNDAA ปิดล้อมเมืองเล่าก์ก่ายเอาไว้ได้ทุกทิศทุกทางและยึดพื้นที่สูงข่มเหนือเมืองหลวงของเขตปกครองตนเองโกกั้ง ณ วัดเนินเขาพระสี่ทิศ-อนุสาวรีย์ 3 กษัตริย์ ที่เพิ่งสร้างขึ้นในยุคทหารเมียนมาได้สำเร็จ
ทางการจีนยังได้ออกหมายจับบุคคลต่างๆ ที่ปกครองเขตปกครองตนเองโกกั้งและเริ่มเหลืออำนาจน้อยลงไปเรื่อยๆ จำนวนไม่น้อยกว่า 10 คน รายแรกๆ คือ หมิง เฉี่ยวชาง และครอบครัวรวม 3 คน ต่อมาในเดือน ธ.ค.66 มีการออกหมายจับคนใน 4 ตระกูล คือ นายไป๋ โซ่ว เฉิง นายหลิว เจิน เชียง นายเว่ย เซา เหยิน และนายหลิว เกว๋อ ซี พร้อมครอบครัวซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกชาย ลูกสาว หลาน ฯลฯ โดยให้เงินรางวัลนำจับ 100,000-500,000 หยวน ซึ่งกรณีของนายหมิงและครอบครัวได้ถูกจับกุมไปเรียบร้อยแล้ว
สงครามที่ควบคู่ไปกับการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ดูเหมือนจะราบรื่นและ MNDAA ใกล้จะยึดเมืองเล่าก์ก่ายคืน แต่ในช่วงต้นเดือน ธ.ค. 2566 ได้มีความพยายามเจรจาของรัฐบาลทหารเมียนมากับทาง MNDAA โดยมีทางการจีนเป็นตัวกลาง ณ นครคุนหมิง มณฑลยูนนาน บรรลุข้อตกลงหยุดยิงไปจนกว่าจะมีการตกลงเรื่องแนวทางการบริหารเขตปกครองตนเองโกกั้งแล้วเสร็จ
แต่หลังจากนั้น ในอีก 1 สัปดาห์ต่อมา เพจ The Kokang ได้เผยแพร่ข้อมูลอ้างว่าได้มีเครื่องบินเจ็ทของทหารเมียนมาบินเข้าโจมตีด้วยการทิ้งระเบิดอย่างหนักนอกเมืองเล่าก์ก่ายซึ่งเป็นพื้นที่ยึดครองของ MNDAA โดยเฉพาะระหว่างวันที่ 18-21 ธ.ค.ทำให้การต่อสู้กลับมาปะทุขึ้นอีกครั้ง
MNDAA ได้แจ้งให้ชาวต่างชาติในเมืองเล่าก์ก่ายเดินทางออกจากเขตปกครองตนเองโกกั้งทั้งหมดเพื่อความปลอดภัย และแจ้งให้ฝ่ายโกกั้งที่ยังปกครองเมืองให้มอบตัวหรือเปลี่ยนมาร่วมกับ MNDAA แลกกับการได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้น ทำให้สงครามที่ซับซ้อน ระหว่างทางการจีน ทหารเมียนมา และกลุ่มโกกั้ง 2 กลุ่ม ยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน
“จินนี่” ลูกหลานของทหารจีนคณะชาติกองพล 93 ยูทูบเบอร์ "ชีวิตในอเมริกา By J Channel" ได้อ่านข่าวสารจากประเทศจีนและความเคลื่อนไหวของเพจ The Kokang ระบุว่ารอบเมืองเล่าก์ก่ายและตัวเมืองถือเป็นไข่แดงของกลุ่มอำนาจเก่านำโดยนายไป๋ โซ่ว เฉิง ที่ยังคงไม่ยอมแพ้
โดยเขตต่างๆ ประกอบด้วยเมืองตงเฉินซึ่งเป็นเขตของนายหลิว เจิน เชียง ซึ่งถัดจากเขตนี้ก็จะเข้าสู่กลางเมืองเล่าก์ก่าย ต่อมาคือเขตจิง เซี่ยง เฉิง ซึ่งเป็นของตระกูลเว่ยนำโดยนายเว่ย เซา เหยิน และเขตจิว ฝ่าง ของนายไป๋ โซ่ว เฉิง ผู้นำสูงสุดซึ่งจะมีหมูตึกในธุรกิจเครือไป่เฉิงอยู่ด้วย
ทั้งนี้ นายไป๋ โซว เฉิง ได้ระดมกองกำลังพิเศษเพื่อต่อต้าน MNDAA อย่างเต็มที่แม้ว่าจะเหลือฐานที่มั่นอยู่น้อยมากก็ตามโดยถึงขั้นประกาศให้เงินรางวัลผู้ที่สังหารทหารยศร้อยเอกขึ้นไปของฝ่ายตรงกันข้ามจะได้รับเงินพิเศษ 100,000 หยวน การระดมกำลังดังกล่าวสอดคล้องกับการที่ทหารเมียนมาได้ระดมทิ้งระเบิดทางเครื่องบินรอบเมืองเล่าก์ก่ายเพื่อป้องกันชาวจีนโกกั้งเก่าที่หันมาเป็น BGF ไม่ให้ Three Brotherhood Alliance โดยเฉพาะ MNDA เผด็จศึกได้ง่ายๆ
กระทั่งช่วงปลายปีมีกระแสข่าวว่าแม้จะได้รับการสนับสนุนทางอากาศ แต่ปราการป้องกันของนายไป๋ โซ่ว เฉิง ก็ถูกตีแตกและนายไป๋ โซ่ว เฉิง พร้อมครอบครัว ก็ได้สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่สงครามก็ยังไม่ยุติ...จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยเฉพาะ MNDAA จะยึดครองพื้นที่ได้อย่างเบ็ดเสร็จ
การสู้รบในเขตปกครองตนเองโกกั้งถือเป็นสงครามลูกผสมหรือสงคราม Hybrid เป็นการสู้รบระหว่างชาวจีนฮั่นหรือโกกั้งด้วยกันเอง โดยมีการหักหลัง แก้แค้นและยึดครองอำนาจกันไปมา รวมทั้งยังเป็นการสู้รบเพื่อเอกภาพและผลประโยชน์โดยรัฐบาลทหารเมียนมา และสุดท้ายคือการสู้รบระหว่างทางการจีนกับกลุ่มจีนเทาในนามแก๊งคอลเซ็นเตอร์
และด้วยเงื่อนไขที่ซับซ้อนจึงทำให้ไม่มีใครกำหนดได้ว่าสงครามรัฐฉานเหนือจะยุติลงเมื่อใด