นครปฐม - เสี่ยร้านวัสดุก่อสร้างถูกเสี่ยร้านขายจักรยานยกพวก 6 คนรุมทำร้าย ลูกสาวลูกชายโดนด้วย หลังเกิดเหตุฝ่ายคนเยอะเข้าแจ้งความเอาผิดถูกทำร้าย อัยการเตรียมส่งฟ้องศาล โดยเสี่ยร้านวัสดุก่อสร้างแจ้งความกลับ แต่พนักงานสอบสวน สภ.กำแพงแสน ให้ไปหาหลักฐาน ผ่านไป 2 เดือนกว่า เรื่องยังเงียบ ตัดสินใจร้องสื่อขอความเป็นธรรม
วันนี้ (25 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรับการแจ้งจากนายธนะสิทธิ์ (ขอสงวนนามสกุล) และนางพัชรี (นามสมติ) สองสามีภรรยา เพื่อร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากหน่วยตำรวจในพื้นที่อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม หลังมีเหตุคดีทะเลาะวิวาทกัน ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 65 และมีการผลัดกันแจ้งความ ซึ่งขณะนี้ตกเป็นจำเลย 2 ข้อหา แต่คู่กรณีที่มีการแจ้งความไปเรื่องกลับเงียบ โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้ติดตามหาหลักฐานประกอบเอง โดยเชื่อลึกๆว่าคู่กรณีเป็นคนมีฐานะและรู้จักกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่
นายธนะสิทธิ์ บอกว่าตนเปิดร้านจำหน่ายอุปกรณ์ก่อสร้างในตลาดอำเภอกำแพงแสน ซึ่งจะนำรถเข้าออกในพื้นที่หลังบ้านเป็นประจำ แต่เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 66 ตนได้ขับรถกระบะออกจากหลังบ้านและเตรียมจะออกรถ ปรากฏว่ามี นายนิธิ (นามสมมติ) คู่กรณี ได้ขับรถเบนซ์ วิ่งเข้าจากปากซอยเพื่อจะขับไปที่บ้านพักตัวเอง แต่ถนนจุดที่เกิดเหตุเป็นทางแคบ ตนเองไม่สามารถจะถอยรถได้ แต่คู่กรณีไม่ยอมจึงได้จอดรถประจันหน้ากันอยู่เกือบ 15 นาที
จากนั้นได้ลงมาจากรถทั้งคู่แต่ ทางนายนิธิ ได้โทร.เรียกคนในบ้านและคนงานออกมา ประมาณ 8 คน ซึ่งบ้านคู่กรณีอยู่ในที่เกิดเหตุประมาณ 200 เมตร ต่อมาทั้งตนและนายนิธิ ได้ลงไปเจรจาและมีปากเสียงกัน ก่อนที่จะมีการลงไม้ลงมือ ซึ่งจังหวะนั้นมีลูกสาวและลูกชายออกมาช่วยยืนดูเหตุการณ์ด้วย เมื่อการเจรจาไม่เป็นผลทางตนจะเดินไปที่รถแต่ถูกขวางทางจึงได้เอื้อมมือเพื่อจะเปิดทาง ซึ่งมีนายพิชัย ได้มาคว้าคอตนเองและรุมทำร้ายร่างกาย เมื่อย้อนกลับมาดูที่กล้องแล้วมี 6 คนที่รุมทำร้ายตนจนล้มลงกับพื้น
นายธนะสิทธิ์ บอกต่อว่าจังหวะที่ตนเองกำลังถูกรุมทำร้าย มีทั้งลูกสาวที่กำลังเรียนอยู่ชั้นม.6 และลูกชายที่อยู่ชั้น ม.3 ได้ออกมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังบ้านด้วย โดยลูกสาวได้ส่งเสียงร้องกรี๊ดขึ้นมา เป็นจังหวะที่ตนได้ลุกขึ้นมาได้จึงได้วิ่งไปหาลูกสาว ซึ่งคนที่มาวิวาทตรงนั้นได้เดินกลับไปที่ท้ายซอย ซึ่งช่วงเหตุการณ์สงบได้มาดูลูกสาว พบว่าแว่นตาแตก มีร่องรอยบาดแผลที่ลำคอ ส่วนลูกชายมีบาดแผลตามตัว ส่วนตนมีบาดแผลจึงได้พากันไปตรวจร่างกายและทำแผลที่โรงพยาบาลไว้ โดยไม่ได้ไปแจ้งความเพราะเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย
นางพัชรี กล่าวว่าช่วงเกิดเหตุตนไม่ได้อยู่บ้าน แต่ได้กลับมาทราบเรื่องราว บอกกับสามีให้มันจบเรื่องไปเพราะไม่อยากจะค้าความ แต่วันเดียวกันทราบว่าคู่กรณีที่มารุมทำร้าย 2 คน คือ คนขับรถเบนซ์ และลูกจ้างได้ไปแจ้งความดำเนินคดีกับสามีที่ สภ.กำแพงแสน ซึ่งทางบ้านไม่อยากมีปัญหาก็ไม่ได้ไปแจ้งความไว้ แต่สภาพจิตใจของลูกสาวเกิดความเครียด ตนและสามีจึงได้ตัดสินใจไปแจ้งความดำเนินคดีไว้ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 65 ซึ่งศาลนครปฐมได้ตัดสินให้ฝ่ายคู่กรณีเป็นฝ่ายผิดซึ่งเรื่องได้จบไปเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 66
จากนั้นทางเจ้าหน้าที่อัยการได้แนะนำให้ไปแจ้งความในส่วนของตนเองด้วย เพราะเป็นเรื่องเดียวกันกับลูกสาวที่ถูกทำร้าย จึงได้ไปแจ้งความไว้ที่ สภ.กำแพงแสน ซึ่งมาทราบ อีกว่า ได้มีคนที่มารุมทำร้ายสามี 2 ใน 6 คนได้มีการไปแจ้งความกับสามี แยกเป็นอีกคดี ทำให้ตอนนี้มีคดีติดตัวที่สามีเป็น 2 คดีแล้ว
นางพัชรี บอกต่อว่า คดีแรกที่สามีถูกฝ่ายตรงข้ามแจ้งข้อหาว่าทำร้ายร่างกาย มีคิวนัดส่งตัวที่อัยการวันที่ 25 ธันวาคม และวันที่ 26 ธันวาคม มีนัดส่งฟ้องในคดีที่คู่กรณีได้ไปแจ้งความเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 65 แต่คดีที่ตนได้แจ้งความตามคำแนะนำของอัยการเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม กลับเงียบหายไม่มีการขยับหรือให้เอกสารอะไรกลับมา ซึ่งตอนนี้สภาพจิตใจของคนในครอบครัวย่ำแย่มาก รู้สึกผิดหวังกับการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
นางพัชรี กล่าวว่า เราพยายามปกป้องศักดิ์ศรีทุกอย่างแล้ว เราไม่ได้รับการดูแลใส่ใจกับหน่วยงานรัฐเลยเราถึงต้องมาร้องสื่อให้ช่วยเป็นกระบอกเสียงให้ เอาความยุติธรรมมาให้ลูกเรา เพราะเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน เคยเป็นตัวแทนไปแข่งคณิตศาสตร์โอลิมปิก สร้างชื่อคว้ารางวัลมาให้โรงเรียนได้ วันนี้ลูกสาว ท้อแท้กับหน่วยงานรัฐมาก เขาไม่ควรมาเจออะไรแบบนี้ ซึ่ง 1 ปีเศษเป็นความทุกข์ของบ้านเรา ที่ลูกเห็นว่าพ่อถูกรุมทำร้าย เขาก็โดน แต่กระบวนการกลับเพิกเฉยเรื่องของเราและดำเนินการช้ามาก คนละเรื่องกับของคู่กรณีที่เราโดนดำเนินการอย่างรวดเร็วซึ่งรู้ว่าเขาสนิทกับตำรวจในพื้นที่
"สิ่งที่จะเรียกร้องคืออยากให้เจ้าหน้าที่รัฐทำงานให้โปร่งใสชัดเจน เพราะตอนนี้เราไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง และมาร้องขอความเป็นธรรมให้ลูกสาวและลูกชาย ซึ่งในส่วนกระบวนการของสามีที่ถูกดำเนินคดียอมรับคำตัดสินของศาล แต่เราท้อแท้กับกระบวนการก่อนขึ้นศาล และอยากขอร้องความเป็นธรรมจากสื่อ ซึ่งเราไม่ได้อยากเด่นดังจากเรื่องแบบนี้ แต่เราหันหน้าหาใครไม่ได้แล้วจริงๆ" นางพัชรี กล่าว