ศูนย์ข่าวศรีราชา - เมืองพัทยามั่นใจกำจัดขยะตกค้าง 100,000 ตัน บนเกาะล้านได้ภายใน 5 ปี หลังเตรียมเซ็นสัญญาเอกชนสร้างเตาเผาขยะถาวรในเดือน พ.ค.ปีหน้า
จากปัญหาขยะและสิ่งปฏิกูลตกค้างบนพื้นที่เกาะล้าน ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ที่มีปริมาณมากกว่า 100,000 ตัน และยังมีขยะรายวันสะสมอีกไม่น้อยกว่า 20-25 ตันต่อวัน จนถูกนำไปกองทิ้งไว้ที่บริเวณเขานม หน้าหาดแสม
ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาได้มีการออกประกาศกฎกระทรวงมหาดไทยว่า ขยะเกิดขึ้นที่ใดให้จัดการบนพื้นที่นั้น จึงทำให้เมืองพัทยาต้องยกเลิกการขนถ่ายขยะลงเรือเพื่อนำกลับมาไปฝั่งจนเกิดเป็นปัญหาเรื่อยมาตั้งแต่ปี 2556 ก่อนจะมอบหมายให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระนครเหนือ เข้าศึกษาและกำหนดแผนในการกำจัดขยะถาวร
โดยกำหนดให้มีการสร้างเตาเผาขยะขึ้นบนเกาะล้าน จำนวน 2 เตา เพื่อกำจัดขยะตกค้างและขยะใหม่ให้ได้เฉลี่ยวันละ 50 ตันนั้น
นายมาโนช หนองใหญ่ รองนายกเมืองพัทยา ได้ออกมาเปิดเผยถึงความคืบหน้าการจัดการปัญหาขยะบนเกาะล้าน ว่า เมืองพัทยาจะกำหนดให้เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องเร่งด่วนที่เมืองพัทยาต้องเร่งดำเนินการให้เกิดผลโดยเร็ว ก่อนจะสร้างความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อมและภาพ ลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวให้พื้นที่
เนื่องจากเกาะล้านถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมืองพัทยาที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาพักผ่อนเป็นจำนวนมาก และที่ผ่านมา เมืองพัทยาได้ส่งเรื่องไปหารือกับสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อให้พิจารณาหนังสือสัญญาว่ามีความสมบูรณ์ครบถ้วนและถูกต้องตามกฎหมาย และได้มีการส่งเรื่องกลับมาให้ตรวจทานและแก้ไขจนแล้วเสร็จแล้ว
"การแก้ไขปัญหาขยะบนเกาะล้าน จากผลการศึกษาของเมืองพัทยา พบว่า จำเป็นต้องใช้รูปแบบการสร้างเตาเผาขยะ จำนวน 2 เตา เพื่อให้สามารถเผาทำลายขยะให้ได้เตาละ 25 ตันต่อวัน หรือรวมแล้วประมาณ 50 ตันต่อวัน โดยแบ่งเป็นขยะสะสม 1 เตา และขยะที่เกิดใหม่อีก 1 เตา ดังนั้น เมื่อมีผลการศึกษาให้มีการก่อสร้างเตาเผาขยะขึ้นขณะนี้จึงได้เร่งสรรหาผู้รับจ้างภาคเอกชนและเตรียมลงนามเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการภายในเร็ววันนี้"
รองนายกเมืองพัทยา ยังเผยอีกว่า เมืองพัทยามีแผนที่จะต้องสร้างเตาเผาให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 6 เดือน และคาดว่าจะสามารถเปิดใช้งานได้ในช่วงเดือน พ.ค.ปีหน้า และจะได้นำขยะตกค้างจำนวนมาก รวมทั้งขยะใหม่รายวันมาเผาทำลายเพื่อลดปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเร็ว
"จากการคำนวณแล้วคาดว่าจะสามารถกำจัดขยะตกค้างที่มีอยู่ให้หมดไปได้ในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งจะทำให้ปัญหาสิ่งแวดล้อม เรื่องของภูมิทัศน์ และภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวกลับมาอย่างยั่งยืนอีกครั้ง" รองนายกเมืองพัทยา กล่าว