เชียงใหม่ – อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (STeP) ผนึก 4 จังหวัดภาคเหนือ “เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง” เปิดเวทีสัมมนาเชิงนโยบายกลไกการขับเคลื่อนแผนแม่บทการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC- Creative Lanna) ด้วยแนวคิด BCG Economy โดยอาศัยเทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ ตั้งเป้าหมายเพิ่มการลงทุน สร้างผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และผู้ประกอบการฐาน BCG เพิ่มการจ้างงาน และกระตุ้นเศรษฐกิจของ 4 จังหวัดให้เติบโตขึ้นเป็น 1 เท่า มูลค่ากว่า 1ล้านล้านบาทภายในปี 2577
วันนี้(25 พ.ย.66) ที่อาคารอำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) โดย อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (STeP) ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบโครงการ จัดการสัมมนาเชิงนโยบายกลไกการขับเคลื่อนแผนแม่บทการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC- Creative Lanna) ด้วยแนวคิด BCG Economy ภายใต้โครงการการพัฒนาแผนแม่บทระเบียงเศรษฐกิจ ด้วยแนวคิด BCG Economy โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา และภาคประชาสังคม เข้าร่วมงานจำนวนกว่า 200 คน
ทั้งนี้เพื่อสร้างการรับรู้และความตระหนักให้แก่ทุกภาคส่วนในการเข้ามามีส่วนร่วมกันกำหนดแนวทางการพัฒนาเชิงพื้นที่ โดยอาศัยเทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ ที่สามารถเชื่อมโยงกิจกรรมทางเศรษฐกิจกับภาคและประเทศโดยรอบ รวมถึงผลักดันนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจของภาคเหนือ จาก 4 จังหวัดแกนกลาง อันได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดโดยรอบทั้งภาคเหนืออย่างยั่งยืน ผ่านแผนแม่บทเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ ด้วยแนวคิด BCG Economy ซึ่งมีเป้าหมายเพิ่มการลงทุน สร้างผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และผู้ประกอบการฐาน BCG เพิ่มการจ้างงาน และกระตุ้นเศรษฐกิจของ 4 จังหวัดให้เติบโตขึ้นเป็น 1 เท่าภายในปี 2577
โดย ผศ.ดร.ธัญญานุภาพ อานันทนะ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ภาคเหนือ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่พร้อมเป็นศูนย์กลาง NEC ในการเชื่อมโยงกับทุกภาคส่วนในพื้นที่และมหาวิทยาลัยในภาคเหนือทั้งหมด ในการนำองค์ความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรม และบุคลากรจากรั้วมหาวิทยาลัย ผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อต่อยอด สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์และบริการสร้างสรรค์ในระดับสากล สร้างศักยภาพในการแข่งขัน สร้างบุคลากรให้พร้อมสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายของพื้นที่ อันจะสามารถสร้างงาน เกิดการกระจายรายได้สู่ภูมิภาค ร่วมขยายฐานเศรษฐกิจในพื้นที่เพื่อขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือต่อไป
ขณะที่ รศ.ดร.ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม รองผู้อำนวยการฝ่ายแผนและยุทธศาสตร์องค์กร หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กล่าวถึง ความจำเป็นในการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ในการเชื่อมโยงอุตสาหกรรมและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภูมิภาค ที่เป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและเชื่อมระเบียงเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงความสำคัญของการสร้างการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่และชุมขน (Bottom-up) ในกระบวนการคิดและการวางแผนพัฒนาเพื่อยกระดับเศรษฐกิจร่วมของพื้นที่ โดย บพท. จึงได้สนับสนุนทุนวิจัยนวัตกรรมให้ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดำเนินโครงการพัฒนาแผนแม่บทเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC-Creative LANNA) ด้วยแนวคิด BCG Economy
ภายใต้แผนงาน “การพัฒนาเมืองและกลไกการเติบโตใหม่” โปรแกรมที่ 15 การพัฒนาเมืองน่าอยู่และการกระจายศูนย์กลางความเจริญโดยใช้วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม มุ่งเน้นการพัฒนาศูนย์กลางความเจริญเมืองอัจฉริยะเมืองน่าอยู่และเมืองที่ได้รับการพัฒนาตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ ร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสำคัญใน จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง อีกทั้งเพื่อผลักดันการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษให้เป็นพื้นที่แห่งโอกาสของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ที่จะนำมาซึ่งการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถทางด้านการแข่งขันของประเทศ (Competitiveness) และยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (Inclusiveness)
ด้าน รศ.ดร. อภิชาต โสภาแดง วิทยาลัยพหุวิทยาการและสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เสริมว่าโครงการวิจัยและพัฒนาแผนแม่บทเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (Northern Economic Corridor: NEC) ด้วยแนวคิด BCG Economy นับว่าเป็นแรงกระเพื่อมสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรฐกิจของภาคเหนือให้เติบโตไปข้างหน้า การระดมสมองและบูรณาการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสำคัญทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา และภาคประชาสังคมในพื้นที่ จึงเป็นที่มาของการเกิดโครงการเรือธง (Flagship Projects) สำคัญ 4 โครงการ อันได้แก่ (1) ประตูสู่ความร่วมมือและเชื่อมร้อยอารยธรรมลุ่มน้ำ (2) เมืองแห่งสุขภาพและสุขภาวะของระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (3) เขตอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมเกษตร อาหาร และสุขภาพภาคเหนือ และ (4) นิคมอุตสาหกรรมสีเขียว และศูนย์กลางโลจิสติกส์ ซึ่งโครงการเรือธงเหล่านี้จะเชื่อมร้อยห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ทั้งอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร และอุตสาหกรรมดิจิทัล ที่เป็นคลัสเตอร์เป้าหมายของระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือให้เติบโตได้อย่างเป็นระบบ
ส่วน รศ.ดร.ปิติวัฒน์ วัฒนชัย ผู้อำนวยอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาคเหนือบนฐาน Bio-Circular-Green Economy ด้วย NEC BCG Innovation Platform จะช่วยให้การนำนโยบายไปสู่แผนการปฏิบัติในพื้นที่เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม แพลตฟอร์มนี้เป็นการเชื่อมโยงโครงการเรือธง (Flagship Projects) และโครงการที่จะปิดช่องว่างการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจของภาคเหนือ เพื่อเติมเต็มห่วงโซ่คุณค่า (Value Chian) อุตสาหกรรมเป้าหมายของพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ ตลอดต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ จากการผสานความร่วมมือ 4 จังหวัดภาคเหนือ โดยรวมโครงการภายใต้แผนแม่บท NEC ดังกล่าวมีมูลค่าโครงการรวมกว่า 140,000 ล้านบาท หากผนวกกับแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ขนาดใหญ่ของภาคเหนือ อาทิ รถไฟทางคู่ (เด่นชัย-เชียงใหม่/ เด่นชัย-เชียงของ) สนามบินเชียงใหม่แห่งที่สอง มอเตอร์เวย์เชียงใหม่-เชียงราย ที่คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่ารวมกว่า 350,590 ล้านบาท
โดยจะส่งผลให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร และอุตสาหกรรมดิจิทัลใน 4 จังหวัดแกนกลางเพิ่มขึ้น เกิดผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมหลักรวม 500 ราย เกิดผลิตภัณฑ์และบริการอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ 500 ผลิตภัณฑ์ เกิดเมืองหรือย่านสร้างสรรค์เพิ่มขึ้น เกิดเทศกาลสร้างสรรค์เชื่อมโยงเมืองต่างๆ ดึงดูดจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นกว่า 30 ล้านคน เกิดการจ้างงานกว่า 2.9 ล้านตำแหน่งต่อปี ซึ่งจะก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง 221,868 ล้านบาทต่อปี และเพิ่มการเติบโตของ GPP รวม 4 จังหวัดเป็น 1 เท่า มูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาท ภายในปี 2577.