เชียงใหม่/เชียงราย - ชูแม่ทัพน้อยที่ 3 เป็นผู้บัญชาการ..ไทยประกาศยกพื้นที่ 11 อำเภอชายแดนเชียงใหม่-เชียงราย เป็นพื้นที่พิเศษ บูราณการสรรพกำลัง-งัดกฎหมายทุกมาตรา ปฏิวัติกระบวนการปราบยานรก-สารตั้งต้น แบบยกกระบิรอบ 50 ปี
วันนี้ (4 พ.ย.66) พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.กระทรวงยุติธรรม ได้เดินทางลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยงาน สกัดกั้นยาเสพติดพื้นที่ชายแดนภาคเหนือตอนบน พร้อมหารือกับ พล.ท.นฤทธิ์ ถาวรวงษ์ แม่ทัพน้อยที่ 3 และผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามยาเสพติดชายแดนภาคเหนือ รวมทั้งกองกำลังผาเมือง ตำรวจ ภ.5 สำนักงานป้องกันและปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ภาค 5
จากนั้นได้เดินทางไปเยี่ยมฐานปฏิบัตการบ้านนอแล ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ และฐานปฏิบัติการดอยช้างมูบ ต.โป่งงาม อ.แม่สาย จ.เขียงราย เพื่อรับทราบสถานการณ์เกี่ยวกับยาเสพติดบริเวณแนวชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งพบว่าเมื่อเร็วๆ นี้ทาง ฉก.ไชยานุภาพ กองกำลังผาเมือง ยึดของกลางยาบ้าบริเวณเส้นทางบ้านใหม่เมืองจ๊อด ต.เมืองหลวง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ ได้ถึง 11 ล้านเม็ด
พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานได้จัดตั้ง "หน่วยบัญชาการสกัดกั้ดและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ภาคเหนือ" โดยใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดมาตรา 5 (10) กำหนดให้มีพื้นที่พิเศษที่จะต้องดำเนินการอย่างเข้มข้น มีการจัดโครงสร้าง จัดสรรงบประมาณ กำหนดวิธีดำเนินการ ฯลฯ ในเขต 11 อำเภอชายแดนด้าน จ.เชียงใหม่ -เชียงราย โดยมี พล.ท.นฤทธิ์ เป็นผู้บัญชาการ
เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าภายในประเทศไทยไม่มีแหล่งผลิตยาเสพติดแต่ยังคงมีอยู่ในเขตที่เรียกกันว่าสามเหลี่ยมทองคำและชนกลุ่มน้อยต่างๆ มีการสู้รบกัน ส่งผลทำให้มีการลักลอบนำเข้ามาตามพื้นที่ชายแดนภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างต่อเนื่อง
พ.ต.อ.ทวี กล่วาอีกว่าที่ผ่านมาหน่วยงานต่างๆ เช่น ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครองตั้งแต่ระดับผู้ว่าราชการจังหวัดลงไป ก็ทำงานป้องกันและปราบปรามอย่างเต็มที่ แต่เนื่องจากพื้นที่นอกประเทศมีกองกำลังที่จำเป็นต้องหาเงินเพื่อใช้ในการสู้รบจึงทำให้มีความพยายามจะลักลอบนำเข้ายาเสพติดไม่หยุด
ดังนั้นพื้นที่พิเศษนี้จะเข้าไปจัดการทุกมิติรวมถึงสกัดกั้นสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ด้วย จากเดิมสารเคมีบางชนิดอาจไม่ผิดกฎหมาย แต่หลังการประกาศเขตพิเศษแล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะหาช่องทางกฎหมายเพื่อกำหนดให้เป็นสินค้าต้องห้ามหรือให้ตรวจสอบได้ต่อไป
"ที่ปฏิบัติกันอยู่เดิมนั้นเรื่องการปราบปรามก็มีผลเป็นที่น่าพอใจโดยเฉพาะภาคเหนือมีการจับกันได้มาก ทำให้ของกลางไม่ถึงแหล่งพักยาในกรุงเทพฯ และภาคกลาง ส่วนแผนปฏิบัติการใหม่นี้จะ เริ่มต้นตั้งแต่เดือน ธ.ค.นี้เป็นต้นไป จากนั้นจะมีการประเมินทุก 1 ปี หน่วยงานที่จะมาร่วมกับแม่ทัพน้อยที่ 3 จะมีอำนาจตัดสินใจและใช้กฎหมายที่มีอยู่ทุกรูปแบบแม้แต่กฎหมายของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ในพื้นที่พิเศษทั้ง 11 อำเภอดังกล่าว เพื่อสกัดยาเสพติดให้ได้ ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหม่ในรอบ 50 ปีเพราะที่ผ่านมาไม่เคยใช้วิธีการนี้มาก่อน" พ.ต.อ.ทวี กล่าว
ด้านแหล่งข่าวหน่วยงานด้านยาเสพติด ระบุว่าปัจจบันแหล่งผลิตยาเสพติดทั้งยาบ้า ไอซ์ เฮโรอีน ฯลฯ ยังคงอยู่ในเขตรัฐฉานเหนือหรือเขตอิทธิพลว้าแดง และเมื่อผลิตแล้วก็จะนำมาพักยาเสพติดในเขตรัฐฉานจำนวน 24 แห่ง ก่อนขนมาพักคอยตามแนวชายแดนที่ใกล้กับ จ.เชียงใหม่ และ จ.เชียงราย เพื่อรอการลักลอบนำเข้าสู่ประเทศไทยต่อไป
ทั้งนี้ตั้งแต่เดือน ต.ค.2565-ปัจจุบัน กองกำลังผาเมือง ได้สกัดกั้นการลักลอบเข้ามาแล้วจำนวน 497 ครั้ง จับกุมผู้ต้องหาได้ 600 คน ยึดยาบ้าได้จำนวน 55.8 ล้านเม็ด ไอซ์น้ำหนัก 2,007 กิโลกรัม และยาเสพติดชนิดอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมากด้วย.
