รัฐชาน พม่า เปิดโปงนรกบนดินชายแดนพม่า-จีน มูลนิธิฯ ชาวไทใหญ่ เปิดอก นักเรียน นักศึกษา พยาบาล ลูกจ้างเอกชนในพม่า ตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ปักหลักในเขตอิทธิพลว้า-โกกั้ง มีตำรวจบ้านคุ้มกัน ลวงสมัครงานก่อนบังคับเป็นทาสกาม ร่วมขบวนการหลอกโอนเงิน ใครขัดขืนเจอทุบ ช็อตไฟฟ้า ล่ามโซ่ เรียกค่าไถ่ซ้ำ
รอบเดือนตุลาคม 66 นี้ มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ได้สัมภาษณ์ชาวพม่า ลูกจ้างบริษัทเอกชน นักเรียนระดับมัธยมศึกษา เจ้าหน้าที่พยาบาลที่รอดชีวิตจากการถูกหลอกให้ไปทำงานร่วมกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และผู้หญิงหลายคนถูกบังคับให้เป็นทาสบริการทางเพศ ในเขตปกครองพิเศษที่ 2 (สหรัฐว้า) และเขตปกครองตนเองโกกั้ง ซึ่งเป็น Border Guard Foece (BGF) พันธมิตรกับรัฐบาลทหารพม่า
เหยื่อส่วนใหญ่มีลักษณะคล้ายกันคือ หลังทหารพม่าก่อการรัฐประหารวันที่ 1 ก.พ.2564 ได้ออกจากโรงเรียนหรือสถานที่ทำงานแล้วไปชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย ก่อนจะถูกขับไล่ จนต้องหลบหนีออกจากบ้าน จากนั้นถูกกลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวงให้ไปทำงานในเขตเมืองปางซาง เมืองเอกของสหรัฐว้าและเมืองป๊อกที่อยู่ติดกัน รวมทั้งเมืองเล่าไก่ซึ่งเป็นเมืองเอกของเขตปกครองตนเองโกกั้ง
เหยื่อเยาวชนคนแรกเป็นหญิงอายุ 19 ปี ชาวเมืองน้ำคำ รัฐชานเหนือ ซึ่งช่วงรัฐประหารเธอยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาแต่ได้ออกจากโรงเรียนแล้วไม่กลับไปอีกเลย แม้จะมีประกาศเปิดเรียนอีกครั้งในเดือน มิ.ย.2564 จากนั้นได้ออกหางานทำและเห็นโฆษณาทางเฟซบุ๊ก แจ้งว่าเปิดรับทำงานในกาสิโนออนไลน์ จึงเข้าไปติดต่อและได้มีคนนำรถไปรับแล้วพาไปเมืองโก๊ดคาย และต่อไปปางซาง ก่อนถูกส่งไปเมืองป๊อกติดชายแดนพม่า-จีน ในที่สุด
แต่เมื่อไปถึงกลับถูกบังคับให้มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายเพื่อทำเป็นสื่อลามกออนไลน์ เมื่อปฏิเสธก็ถูกขู่ให้จ่ายค่าไถ่ตัวเองเป็นเงิน 30,000 หยวน พอไม่มีจ่ายก็ถูกนำไปขัง 3 วัน และมีคนเข้าไปเปลื้องเสื้อผ้า จี้ด้วยปืนไฟฟ้า ก่อนขังต่ออีก 5 วันโดยไม่ได้รับประทานอาหารเลย
กระทั่งทนทรมานไม่ไหว ถูกนำตัวไปมัดด้วยโซ่และข่มขืนหลายครั้ง โดยมีการถ่ายเป็นวิดีโอขายทางออนไลน์ หากยังขัดขืนอีกจะถูกทุบตีและใช้ไฟฟ้าช็อต ล่ามโซ่ ราดด้วยน้ำเย็น ซึ่งตนต้องตกอยู่ในชะตากรรมแบบนี้นานประมาณ 2 เดือนจึงมีโอกาสได้ใช้โทรศัพท์มือถือ ซึ่งได้ติดต่อพ่อแม่เพื่อให้นำเงินไปไถ่ตัวโดยที่ไม่กล้าบอกเจ้าหน้าที่รัฐคนใดเลยเพราะสถานที่ถูกหลอกไปมีเจ้าหน้าที่ทหารบ้านคอยดูแลรักษาความปลอดภัยเสียเอง
มูลนิธิฯ ยังได้สัมภาษณ์ชาย 2 คน ทั้งคู่เป็นชาวเมืองจ๊อกเม รัฐชานเหนือ คนแรกอายุ 19 ปี เป็นนักศึกษาปีที่ 1 มหาวิทยาลัยล่าเสี้ยว คนที่ 2 อายุ 21 ปี เป็นนักศึกษาปีที่ 1 มหาวิทยาลัยเดียวกัน หลังรัฐประหารได้ออกจากมหาวิทยาลัยแล้วไปทำงานอยู่ที่บริษัทจำหน่ายโทรศัพท์มือถือในเมืองล่าเสี้ยว แต่ได้เงินน้อย เมื่อเห็นโฆษณาออนไลน์ว่ารับสมัครผู้ที่ใช้ภาษาตะวันตกได้ดีไปทำงานเป็นพนักงานโรงแรมที่เมืองป๊อกจึงสมัครเข้าไป
จากนั้นได้รับการติดต่อให้ไปขึ้นรถในเมืองล่าเสี้ยว ไปเมืองป๊อก ช่วงเดินทางพบเห็นคนที่มาจากเมืองโมนยวา เมืองมะก่วย เมืองตายาวะดี ถูกติดต่อให้นั่งรถไปทำงานที่เดียวกันด้วย แต่เมื่อไปถึงเมืองป๊อกกลับถูกหลอกให้ลงชื่อในสัญญาจ้างงาน 6 เดือน และให้ทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตั้งแต่เวลา 08.00-เที่ยงคืน (ตามเวลาประเทศจีน) ทุกวัน นายจ้างที่เป็นคนจีนสั่งให้แต่ละคนสมัครเฟซบุ๊ก โดยใช้ภาพหญิงชาวเอเชียที่หน้าตาดีในโปรไฟล์แล้วให้ติดต่อคุยกับคนตะวันตกและชักชวนให้ลงทุนกับเว็บไซต์ปลอมที่ใช้เงินคริปโตฯ เมื่อมีการโอนเงินเข้าก็ให้ปิดเว็บไซต์หนี
อดีตนักศึกษาทั้ง 2 คนบอกอีกว่า พวกเขาถูกบังคับให้หาเหยื่อให้ได้วันละ 3 คน เมื่อไม่ยอมทำงานจะมีพนักงานรักษาความปลอดภัยเข้าทำร้ายร่างกาย บางครั้งโดนบังคับให้วิ่งแบกถังน้ำ โดยหัวหน้าแก๊งแจ้งว่าหากจะออกไปต้องจ่ายเงินไถ่ตัวคนละ 12,000 หยวน ทำให้พวกตนต้องจำใจทำงานและพักอยู่ในห้องขังที่อยู่ร่วมกับคนที่ถูกหลอกมาเช่นเดียวกันอีก 7 คน หากใครนำความเดือดร้อนไปโพสต์ในสื่อสาธารณะแล้วถูกจับได้ก็จะถูกใส่กุญแจมือและทุบตีด้วยกระบองยาง ไฟฟ้าจี้
ต่อมา ทั้ง 2 คนได้ติดต่อพ่อแม่ได้ทำให้พ่อแม่ซึ่งรู้จักกับนายทหารไทใหญ่ที่เป็น BGF จึงมีการเจรจากับกองทัพสหรัฐว้าและมีการใช้ตำรวจว้าบุกเข้าไปช่วยเหลือทั้งหมดออกมาได้ แต่หัวหน้าแก๊งและคนอื่นๆ หลบหนีไปได้ รวมทั้งก่อนถูกปล่อยตัวยังต้องจ่ายเงินให้ตำรวจว้า 2,000 หยวน และตำรวจพม่าอีก 300,000 จั๊ตด้วย
เหยื่ออีกรายเป็นหญิงซึ่งเคยเป็นพยาบาลประจำอยู่ที่โรงพยาบาลของรัฐในเมืองย่างกุ้ง หลังมีการรัฐประหารเธอได้ร่วมการชุมนุมประท้วงจึงถูกปราบปรามและหลบหนีไปอยู่ที่เมืองเชียงตุง รัฐขานตะวันออก ต่อมามีคนรู้จักกันแจ้งว่ามีการรับสมัครพยาบาลให้ไปประจำโรงพยาบาลในเมืองปางซางโดยมีค่าจ้างให้ 2,000 หยวน จึงเข้าไปสมัครและมีรถไปรับแล้วพาไปส่งที่เมืองปางซาง โดยเข้าพักที่เกสต์เฮาส์แห่งหนึ่ง
ต่อมามีชายชาวจีนเชื้อสายพม่าเข้าไปหาและพาไปที่ตึกหลายชั้นหลังหนึ่ง และเข้าบังคับข่มขืน จากนั้นบังคับให้เป็นคนบำเรอกามให้พวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นเวลากว่า 2 เดือน ซึ่งทราบต่อมาว่าผู้ที่ติดต่อกับเธอในช่วงแรกได้ขายตนให้นายหน้าเป็นเงิน 2,000 หยวน และนายหน้านำตนมาขายต่อให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์อีกทอดเป็นเงิน 4,000 หยวน โดยกิจการแก๊งนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองปางซาง ต่อมามีคนแจ้งตนว่าหากต้องการออกไปต้องใช้เงินไถ่ตัว 10,000 หยวน แต่ตนไม่มีให้จึงถูกนำไปข่มขืน เมื่อพยายามหลบหนีเมื่อถูกจับได้จะถูกเฆี่ยนด้วยสายไฟและเข็มขัด
อดีตพยาบาลจากโรงพยาบาลในเมืองย่างกุ้งกล่าวว่า ต่อมาเธอสามารถติดต่อทางโทรศัพท์กับพี่ชายได้จึงขอให้ช่วย ซึ่งเมื่อพี่ชายแจ้งไปยังกองทัพสหรัฐว้าที่เมืองล่าเสี้ยว ปรากฏว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลับไหวตัว ควบคุมตัวเธอและหญิงที่ถูกบังคับให้เป็นทาสบำเรอกามอีก 3 คนซึ่งเป็นชาวจีนที่อยู่คนละชั้นในตึกเดียวกัน ออกจากเมืองปางซางเพื่อนำไปบริการทางเพศต่อที่เมืองป๊อก
แต่ระหว่างทางที่รถหยุดเพื่อพักรับประทานอาหารในเขตเมืองป๊อก เธอและคนอื่นๆ ทำทีขอเข้าห้องน้ำและหลบหนีปะปนกับกลุ่มคนในร้านที่มีอยู่เป็นจำนวนมากได้ จากนั้นหญิงชาวจีนในกลุ่มได้โทรศัพท์ติดต่อให้คนนำรถไปรับพวกเธอทั้งหมด แล้วพาไปส่งที่เมืองเชียงตุง หลังจากพบพี่ชายแล้วตนได้หลบหนีเข้าสู่ประเทศไทย
หลังจากสัมภาษณ์บุคคลทั้งหมดแล้วมูลนิธิฯ ได้สรุปข้อมูลว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งในเขตสหรัฐว้าและโกกั้ง มีส่วนในการเปิดให้แก๊งชาวจีนเข้าเปิดกิจการได้อย่างเปิดเผย โดยมีกองกำลังทหารบ้านเป็นคนดูแลความปลอดภัย เมื่อเหยื่อติดต่อให้ญาติพาเจ้าหน้าที่ไปช่วยก็พบว่าเหยื่อถูกเคลื่อนย้ายหลบหนี หรือกรณีเคลื่อนย้ายไม่ทัน ตัวการของแก๊งสามารถหลบหนีไปได้เพราะมีการแจ้งข่าวกันล่วงหน้า
นอกจากนี้ เครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้ยังเป็นโครงข่ายมายเทล ซึ่งเป็นของทางการพม่า ที่มีอยู่เพียงแห่งเดียวในเขตนี้อีกด้วย
ทั้งนี้ นอกเหนือจากผู้ที่รอดชีวิตมาได้และถูกสัมภาษณ์แล้ว คาดว่ายังมีเหยื่อที่ตกนรกทั้งเป็นอยู่ในเขตสหรัฐว้าและโกกั้งอีกเป็นจำนวนมาก และมีข่าวว่ามีหญิงสาวรายหนึ่งที่เคยเป็นพนักงานบัญชี ถูกแก๊งชาวจีนอย่างน้อย 3 คนข่มขืนรุมโทรมที่เมืองเล่าไก่ ทำให้เธอกระโดดลงมาจากชั้น 4 จนเสียชีวิตด้วย
ดังนั้น จึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศพม่า จีน สหรัฐว้า โกกั้ง ยุติพฤติกรรมของแก๊งดังกล่าวโดยเร็ว รวมทั้งขอให้รัฐบาลเวียดนาม ซึ่งมีรัฐวิสาหกิจที่ถือหุ้นในโครงข่ายมายเทลของพม่าได้ตรวจสอบเพื่อไม่ให้นำไปใช้ก่ออาชญากรรมไซเบอร์ด้วย