ศูนย์ข่าวศรีราชา - สั่งรื้อแล้วบ้านทรงไทย 2 หลัง ปลูกบนพื้นที่ลำรางสาธารณะชุมชนเขาชีจรรย์ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี หลังชาวบ้านร้องจนหลายหน่วยงานต้องร่วมกันลงพื้นที่ตรวจสอบ ขณะเจ้าของบ้านบอกไม่รู้เป็นการกระทำผิด เหตุซื้อต่อมาอีกทอด ยินดีรื้อใน 30 วัน
จากกรณีที่มีชาวบ้านในพื้นที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ร้องเรียนต่อสื่อมวลชนว่ามีกลุ่มนายทุนจากกรุงเทพฯ ทำการถมที่ดินเกินเข้ามาในพื้นที่ลำรางสาธารณะชุมชนเขาชีจรรย์ ม.7 ต.นาจอมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ซึ่งอยู่ในเขตความรับผิดชอบของเทศบาลตำบลเขาชีจรรย์ รวมทั้งขอให้ตรวจสอบบ้านเรือนไทย จำนวน 2 หลัง ที่ปลูกกลางแอ่งเก็บน้ำสาธารณะ
กระทั่งวันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมา นายสิทธิพร แสงสว่าง ปลัดอำเภอสัตหีบ พร้อมด้วย นายปรีชา แนบถนอม หัวหน้าฝ่ายป้องกันการทุจริต สำนักงาน ป.ป.ช.ชลบุรี และนายประพันธ์ศักดิ์ ขวัญศรี นายช่างรังวัดชำนาญงาน สำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาสัตหีบ เจ้าหน้าที่จากกรมป่าไม้ เขต 9 ชลบุรี รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ได้ร่วมกันลงพื้นที่ตรวจสอบที่ดินลำรางสาธารณะประโยชน์
จนพบว่ามีการปลูกสร้างบ้านทรงไทยไม้สภาพใหม่สวยหรู 1 หลัง และเก่าทรุดโทรมไม่มีการใช้งาน 1 หลังบนเกาะเล็ก กลางลำรางสาธารณะ ชุมชนเขาชีจรรย์ ม.7 ต.นาจอมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ตามที่ได้รับแจ้งนั้น
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธนพง โคตรมณี นายกเทศมนตรีตำบลเขาชีจรรย์ ได้ออกหนังสือ เลขที่ ชบ 56301 ลงวันที่ 4 ต.ค.2566 แจ้งไปยัง น.ส.ปิยธิดา ภู่งาม ผู้ถือกรรมสิทธิ์และครอบครองบ้านเรือนไทยดังกล่าวเพื่อให้ดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบ้านทรงไทย ที่ไม่ปรากฏบ้านเลขที่บนเกาะเล็กกลางลำรางสาธารณะประโยชน์แล้ว
โดยให้ถือว่าเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามมาตรา 1304 พร้อมระบุต้องทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้พ้นไปจากที่ดินอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือฉบับดังกล่าวเป็นต้นไป
ขณะที่ น.ส.ปิยธิดา ภู่งาม ชี้แจงว่าตนเองได้มีกรรมสิทธิ์ในบ้านทรงไทย ด้วยการซื้อมาจาก นายธนัตถ์ทรัพย์ (ขอสงวนนามสกุล) เมื่อวันที่ 30 เม.ย.65 โดยไม่ทราบมาก่อนว่าเป็นการปลูกสร้างรุกล้ำอยู่บนลำรางสาธารณะประโยชน์ เพราะหากทราบข้อเท็จจริงตั้งแต่แรกซึ่งเจ้าของเดิมได้ปลูกสร้างอยู่ก่อนแล้วคงไม่ซื้อ
โดยยืนยันว่าตนเองไม่มีเจตนากระทำผิดต่อกฎหมาย พร้อมยินดีรื้อถอนบ้านทรงไทยออกจากลำรางสาธารณะประโยชน์ดังกล่าวต่อไป