รพ.ขอนแก่นยังรั้งแชมป์มีข่าวในทางลบออกสื่อบ่อยที่สุดในบรรดาโรงพยาบาลของรัฐทั่วประเทศ ล่าสุดตัวแทนผู้บริจาคชาวขอนแก่นเข้าร้องเรียน “หมอชลน่าน” รมว.สาธารณสุขคนใหม่ถึงกระทรวง ขอให้มีการตรวจสอบ “นพ.เกรียงศักดิ์” ผอ.โรงพยาบาลใช้เงินบริจาคซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ไปสร้างโรงบำบัดขยะติดเชื้อฯ เป็นการใช้เงินผิดเจตนาผู้บริจาค ที่สำคัญซื้อเครื่องบำบัดขยะจากเจ้าเดียวกันที่ซื้อใช้ รพ.ชุมแพ-รพ.พระปกเกล้า จันทบุรี ที่มีปัญหาการใช้งานมาจนถึงทุกวันนี้
มีรายงานจากกระทรวงสาธารณสุขแจ้งว่า ภายหลัง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เข้าทำงานในวันแรกๆ เมื่อสัปดาห์ก่อน ก็ประเดิมรับเรื่องร้องเรียนกรณีปัญหาการสร้างโรงบำบัดขยะติดเชื้อด้วยไอน้ำของโรงพยาบาลขอนแก่นจากกลุ่มบุคคลที่อ้างว่าเป็นตัวแทนประชาชนผู้บริจาคชาวขอนแก่น โดยขอให้รัฐมนตรีตรวจสอบการใช้เงินบริจาคของ นพ.เกรียงศักดิ์ วัชระนุกูลเกียรติ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอนแก่น กรณีที่นำไปซื้อเครื่องบำบัดขยะฯ ราคา 19 ล้านกว่าบาท ว่าดำเนินการถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบราชการและเทศบาลรวมทั้งมีพฤติกรรมส่อทุจริตหรือไม่ ซึ่ง นพ.ชลน่านเองก็ให้ความสนใจข้อร้องเรียนนี้ไม่น้อย และรับปากจะดำเนินการตรวจสอบ
สำหรับสาระในหนังสือร้องเรียนระบุว่า ตามที่สื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวในหลายสื่อและช่องทางต่างๆ เกี่ยวกับปัญหาการดำเนินการบำบัดขยะของโรงพยาบาลขอนแก่นว่าได้ก่อความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงและเจ้าหน้าที่บุคลากรที่ปฏิบัติงานอยู่ในอาคารหอผู้ป่วยตรงข้ามกับเครื่องบำบัดขยะรวมไปถึงผู้ป่วยที่พักรักษาอยู่ในอาคารบริเวณนั้น โดยจากเดิมโรงพยาบาลขอนแก่นเคยจ้างเหมาบริษัทมารับขยะติดเชื้อไปทำลาย ซึ่งเป็นการบริหารจัดการที่ทำมาตลอดและเหมาะสม ไม่ได้ก่อปัญหาเรื่องกลิ่นเหม็นหรือก่อมลพิษให้แก่สิ่งแวดล้อมใดๆ
แต่หลังจาก นพ.เกรียงศักดิ์ วัชระนุกูลเกียรติ เข้ามาเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอนแก่น กลับเปลี่ยนวิธีการบำบัดขยะเป็นการซื้อเครื่องบำบัดขยะมาดำเนินการเอง โดยนำเงินบริจาคของประชาชนที่บริจาคเพื่อซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์มาเป็นงบประมาณในการจัดซื้อ และเมื่อดำเนินการบำบัดขยะก็ก่อความเดือดร้อนทั้งส่งกลิ่นเหม็นและปล่อยสารที่ก่อมลพิษให้สิ่งแวดล้อมและก่อให้เกิดมะเร็ง
ในนามตัวแทนผู้บริจาคชาวขอนแก่นจึงเรียนมายังท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้เข้ามาตรวจสอบในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากพบว่ามีความผิดปกติ เป็นที่น่าสงสัยแคลงใจของประชาชนที่บริจาคเงินให้กับโรงพยาบาลขอนแก่นหลายประการ ได้แก่
1. การดำเนินการบำบัดขยะโดยซื้อเครื่องบำบัดขยะมาดำเนินการกำจัดขยะมูลฝอยติดเชื้อเองตามคำสั่งของ นพ.เกรียงศักดิ์ เป็นแนวทางที่เหมาะสมหรือมีเจตนาเคลือบแฝงส่อทุจริตเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท เนื่องจากข้อมูลข่าวสารที่ได้รับจากสื่อต่างๆ มีการรายงานว่า นพ.เกรียงศักดิ์ ได้ใช้วิธีการบำบัดขยะแบบเดียวกันในโรงพยาบาลที่เคยเป็นผู้อำนวยการมาก่อน ได้แก่ โรงพยาบาลชุมแพ และโรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี โดยซื้อเครื่องบำบัดขยะด้วยเงินบริจาคจากบริษัทเดียวกันกับของที่ซื้อมาใช้ที่โรงพยาบาลขอนแก่น และได้ก่อปัญหาเรื่องกลิ่นเหม็น ปล่อยสารมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและสารก่อมะเร็งเช่นเดียวกัน
จนเป็นเหตุให้มีการร้องเรียนของทั้งโรงพยาบาลชุมแพ และโรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี ซึ่งเทศบาลจันทบุรีถึงขั้นสั่งปิดโรงบำบัดขยะ...เมื่อเกิดปัญหาซ้ำมาแล้วถึง 2 โรงพยาบาล เหตุใดจึงได้สั่งการให้ดำเนินการบำบัดขยะแบบเดียวกับที่มีปัญหาอีก
2. มีการนำเงินบริจาคที่มีวัตถุประสงค์เพื่อซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ ไปรวมกับเงินบริจาคแบบไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการซื้อเครื่องบำบัดขยะ ถือเป็นการใช้เงินงบประมาณผิดวัตถุประสงค์ ไม่มีการประชาสัมพันธ์แจ้งเรื่องนี้ต่อพี่น้องประชาชนที่มาบริจาค และส่อพฤติกรรมว่าเป็นการเตรียมการเพื่อที่จะจัดซื้อโดยไม่เคารพและไม่คำนึงถึงความรู้สึกของผู้บริจาคแต่อย่างใด
3. การดำเนินการติดตั้งและใช้งานเครื่องบำบัดขยะไม่ได้มีการแจ้งเทศบาลหรือทำประชาพิจารณ์ตามระเบียบและเปิดใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเทศบาล แม้เมื่อมีการตรวจสอบและพบว่ามีปัญหาตามข้อร้องเรียนก็ยังท้าทายอำนาจรัฐเปิดทำการต่ออีกหลายวันกว่าจะสั่งปิด เหตุใดจึงสามารถกระทำการขัดต่ออำนาจรัฐได้ โดยไม่สนใจความเดือดร้อนของประชาชน ผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่บุคลากรในโรงพยาบาลขอนแก่น
จึงเรียนมาเพื่อขอให้เข้ามาตรวจสอบและหาผู้รับผิดชอบในเรื่องดังกล่าว และหากมีการกระทำความผิดจริง ทั้งเรื่องดำเนินการบำบัดขยะที่ก่อความเดือดร้อนให้ประชาชน กระทำการผิดระเบียบ ท้าทายอำนาจรัฐและส่อทุจริต สำคัญที่สุด คือเงินบริจาคของประชาชนชาวขอนแก่นเป็นจำนวนเงิน 19 ล้านกว่าบาทที่สูญเสียไปจากการนำไปซื้อเครื่องบำบัดขยะ ซึ่งเป็นการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ ไม่เหมาะสม ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมและกลับยังสร้างปัญหาให้แก่ชุมชน ขอได้โปรดดำเนินการย้ายเครื่องบำบัดขยะออกไปจากชุมชนและลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องที่กระทำความผิดตามกฎหมาย เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้บริหารคนอื่นต่อไป