สมุทรสงคราม - "เศรษฐา" ลงพื้นที่แม่กลอง รับจะแก้ปัญหา IUU และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องที่สร้างความเดือดร้อนให้ชาวประมงเร็วที่สุด ตามที่ได้เคยรับปากไว้ในช่วงลงพื้นที่หาเสียง จ.สมุทรสงคราม
วันนี้ (1 ก.ย.) ที่ท่าเทียบเรือสิริไพโรจน์ ต.แหลมใหญ่ อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะประกอบด้วย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า นายปลอดประสพ สุรัสวดี และนางนลินี ทวีสิน ได้เดินทางมาพบปะกลุ่มพี่น้องชาวประมงจากสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย และกลุ่มชาวประมงจากจังหวัดต่างๆ เพื่อพูดคุยรับฟังปัญหาความเดือดร้อนประเด็นผลกระทบจากประกาศของ IUU และอื่นๆ
ทั้งนี้ เพื่อหาทางแก้ไขตามที่ได้เคยรับปากไว้เมื่อครั้งที่นายเศรษฐา เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย และทีมงานได้ลงพื้นที่ จ.สมุทรสงคราม และได้รับฟังปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องชาวประมงในหลายจังหวัด และรับปากจะช่วยเหลือหากได้จัดตั้งรัฐบาล ซึ่งขณะนี้พรรคเพื่อไทยได้รับเสียงโหวตให้จัดตั้งรัฐบาลแล้ว และนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ชาวประมงจึงทวงสัญญาดังกล่าว โดยมีนายมงคล สุขเจริญคณา ประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย และนายกสมาคมประมงสมุทรสงคราม นายชินชัย สถิรยากร นายกสมาคมประมงเรือลากคู่สมุทรสงคราม นางสาวิกา ศิริบุญญาวงศ์ ประธานกรรมการสหกรณ์ประมงแม่กลอง จำกัด และพี่น้องชาวประมงจากจังหวัดต่างๆ ประมาณ 400 คนให้การต้อนรับ
นายมงคล สุขเจริญคณา ประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย และนายกสมาคมประมงสมุทรสงคราม กล่าวว่า ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจภาคประมงได้รับผลกระทบคำนวณได้ปีละ 150,000 ล้านบาท ชาวประมงขาดรายได้จากการทำประมงนอกน่านน้ำต่างประเทศปีละกว่า 50,000 ล้านบาท การทำประมงในประเทศกลายเป็นแพะรับบาป ทั้งที่ปัญหาเกิดจากมีเรือที่ลักลอบไปทำการประมงต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งไม่ได้มีการแก้ไขตรงนั้น แต่กลับเอากฎหมายมาบังคับใช้ในภาพรวมทั้งหมด ทั้งที่เรือในประเทศเกือบทั้งหมดมีใบอนุญาตถูกต้อง
ทั้งนี้ เนื่องจากภาครัฐไม่มีการมาพูดคุยกับชาวประมงถึงต้นตอของปัญหาตั้งแต่ต้น เรื่องถึงได้บานปลายมาขนาดนี้ ดังนั้นการแก้ปัญหาโดยไม่ได้รับฟังความคิดเห็นชาวประมงจึงไม่เกิดผลและใช้ไม่ได้เพราะมันติดกระดุมผิดตั้งแต่เม็ดแรก นอกจากนี้ พ.ร.ก.ประมง พ.ศ.2558 ยังกำหนดบทลงโทษที่รุนแรงเกินไป ยกตัวอย่างเช่นการแจ้งเอกสารผิดพลาดควรมีการตักเตือนก่อนไม่ใช่ปรับเป็นแสนเป็นล้าน บางลําโดนปรับ 2 ล้านบาท หรือบางลํามากถึง 4 ล้านบาทและยึดสัตว์น้ำด้วย และตามมาตรา 113 วรรค 2 ให้มีการวางกฎระเบียบ “การวางประกันเรือ” แต่ไม่ได้ออกหลักเกณฑ์มารองรับ ชาวประมงที่โดนคดีออกวางมาประกันเรือสู้คดีไม่ได้ก็ต้องเจ๊งไป
ทั้งที่ตามมรัฐธรรมนูญบัญญัติชัดเจนว่าผู้ที่ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะตัดสิน การกระทำแบบนี้จึงผิดหลักกฎหมายซึ่งชาวประมงเสียหายจากเรื่องนี้รวมทั่วประเทศกว่า 1,000 ล้านบาทแล้ว จึงวิงวอนขอให้ช่วยนำเรื่องการแก้ พ.ร.ก.ประมง พ.ศ.2558 ที่ผ่านกรรมาธิการที่ตกไปนำมาพิจารณาเป็นลำดับแรก ส่วนการแก้กฎหมายลูก 13 ฉบับขอให้เร่งแก้ไขเพราะหากตรงนี้ได้รับการแก้ไขคาดว่าจะแก้ปัญหาให้ชาวประมงได้ภายใน 90 วัน นอกจากนี้ขอให้กรมประมงมานั่งคุยกับชาวประมงเพื่อจะได้ฟังปัญหาและแก้ปัญหาได้ตรงจุด
นายมงคล กล่าวด้วยว่า กลุ่มชาวประมงใน 22 จังหวัดทั่วประเทศได้สรุปปัญหาเบื้องต้นให้นายกรัฐมนตรีและคณะรับทราบเพื่อช่วยเหลือใน 3 เรื่อง คือ 1.ขอให้รัฐบาลเร่งนำกฎหมายที่สร้างความเดือดร้อนให้ชาวประมงเข้าพิจารณาในสภาทันที เพราะในกระบวนการรัฐสภารัฐบาลชุดที่แล้วดำเนินการอยู่ในวาระ 2 แต่กฎหมายนี้ได้ตกไปเมื่อมีการยุบสภา แต่รัฐบาลใหม่สามารถนำขึ้นมาพิจารณาได้ในช่วง 60 วัน 2.ในระหว่างพิจารณาแก้กฎหมายประมงขอให้แก้กฎหมายลูกที่มีปัญหาในการทำประมงภายใน 90 วัน และ 3.ให้ยกเลิกคณะกรรมการชุดเฉพาะกิจที่ตั้งขึ้นก่อนหน้านี้ทั้งหมด
นายเศรษฐา กล่าวว่า การมา จ.สมุทรสงครามครั้งนี้เพื่อมาหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องชาวประมงทั้ง 22 จังหวัดทั่วประเทศโดยตนและพรรคเพื่อไทยพร้อมทำตามสัญญาตามที่ได้รับปากไว้กับพี่น้องชาวประมงแต่ละจังหวัดในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง และจะมุ่งมั่นตั้งใจแก้ปัญหาให้พี่น้องชาวประมงโดยเร็ว โดยจะมอบปัญหานี้ให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นหัวหน้าคณะ ซึ่งอาจจะทำไม่ได้ในครั้งเดียวทั้งหมด แต่จะค่อยๆ แก้ปัญหาให้ดีที่สุด ขอให้มั่นใจในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ส่วนการไปหาปลานอกน่านน้ำโดยเฉพาะประเทศอินโดนีเซีย เรามีผู้แทนการค้าซึ่งจะเป็นกลไกเข้าไปช่วยเปิดช่องทางทำการประมงต่อไป
จากนั้นนายเศรษฐา นายกรัฐมนตรี และคณะยังได้เดินเท้าไปที่ท่าเทียบเรือสิริไพโรจน์ ซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ 50 เมตร เพื่อดูวิธีการนำกุ้งหอยปูปลาที่ทำประมงมาขึ้นจากเรือแล้วนำขึ้นรถบรรทุกห้องเย็น เพื่อนำไปจำหน่ายตลาดปลาสหกรณ์ประมงแม่กลอง เช้าวันพรุ่งนี้ ก่อนจะให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนและเดินทางกลับกรุงเทพฯ
