สระแก้ว - “รองต่อ” เปิดยุทธการโค่นเสาสัญญาณ Call Center หลอกตุ๋นคนไทยบริเวณแนวชายแดนสระแก้ว มีทั้งสถานีวิทยุคมนาคมที่ไม่ได้รับอนุญาต และสถานีวิทยุคมนาคมที่ได้รับอนุญาตแต่ปฏิบัติผิดเงื่อนไขมาถึง 27 สถานี
วันนี้ (16 ส.ค.) พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กสทช.ด้านกฎหมายและประธานอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยี และนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. รวมทั้ง พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้เดินทางลงพื้นที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
เพื่อตรวจสอบสถานีวิทยุคมนาคมที่ไม่ได้รับอนุญาต และสถานีวิทยุคมนาคมที่ได้รับอนุญาตแต่ปฏิบัติผิดเงื่อนไขการได้รับอนุญาต เช่น หันตัวส่งสัญญาณไปประเทศเพื่อนบ้าน รวมจำนวน 27 สถานี
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า จากแนวทางการสืบสวนพบว่าแก๊ง Call Center ส่วนใหญ่อยู่บริเวณแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน และได้อาศัยสัญญาณโทรศัพท์และสัญญาณอินเทอร์เน็ตจากแนวชายแดน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ในการกระทำผิดหลอกลวงคนไทย โดยได้ลักลอบตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต
และหันสายอากาศไปประเทศเพื่อนบ้านจำนวน 4 สถานี อันเป็นการกระทำความผิดฐาน “มีและใช้เครื่องวิทยุคมนาคมและตั้งสถานีวิทยุโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต” จึงได้ทำการรื้อถอนและตรวจยึดอุปกรณ์ที่ใช้กระทำความผิด นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี
นอกจากนั้น ยังพบว่ามีสถานีวิทยุคมนาคมที่ได้รับอนุญาต แต่มีสายอากาศ หรือ sector หันไปทางประเทศเพื่อนบ้าน จำนวน 23 สถานี เจ้าหน้าที่จึงแจ้งให้ผู้รับใบอนุญาตเร่งแก้ไขปรับปรุงหรือปฏิบัติให้ถูกต้องและให้ถอนการติดตั้งสายอากาศบางจุด หรือปรับทิศทางสายอากาศ เพื่อมิให้แพร่สัญญาณออกนอกประเทศไทย
ขณะเดียวกัน ยังสามารถล่อซื้อจับกุมผู้ลักลอบจำหน่ายซิมการ์ดโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือซิมม้า ซึ่งมีการลงทะเบียนใช้งานโดยบุคคลอื่นซึ่งไม่ใช้ผู้ใช้งานจริง บริเวณแนวชายแดน ในพื้นที่ตลาดโรงเกลือได้เป็นจำนวนมาก จึงได้ดำเนินการจับกุมผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และตรวจยึดของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
โดยได้ฝากประชาสัมพันธ์ประชาชนว่า กลุ่มมิจฉาชีพมีการปรับเปลี่ยนวิธีการใหม่ๆ ตลอดเวลาเพื่อหลอกลวงข้อมูลจากเหยื่อ และมักแอบอ้างหน่วยงานของรัฐ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ จึงขอให้พิจารณาตรวจสอบข้อมูลอย่างถี่ถ้วนก่อนทุกครั้ง
หากไม่แน่ใจแนะนำให้สอบถามกับหน่วยงานโดยตรง หรือสามารถสอบถามได้ที่ หมายเลขสายด่วน 1441 หรือหมายเลขสายตรง 08-1866-3000