นครปฐม - มาตามคำท้า ไวยาวัจกรวัดไผ่ล้อม พร้อมทีมกฎหมายตั้งโต๊ะแถลงข่าวยื่นฟ้องอาญา ฐานหมิ่นประมาทแพรรี่ ไพรวัลย์ จาตุรงค์ นักวิชาการ พ่วงหนุ่มกรรชัย พร้อมบิ๊กวงการสื่อรวม 10 ราย กรณีรายการโหนกระแส เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม หลังแพรรี่ฟาดกลับหลวงพี่น้ำฝน ปกป้องพระพยอมที่ออกมาให้พูดเรื่องการเมือง และพาดพิงสถาบันว่าไม่เหมาะ เป็นการขัดคำสั่งมหาเถรสมาคม
วันนี้ (11 ส.ค.) หลวงพี่น้ำฝน หรือพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม มอบอำนาจให้ทนายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร ทนายความ และไวยาวัจกรวัดไผ่ล้อม มาที่ศาลจังหวัดนครปฐม ยื่นฟ้องคดีอาญาข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ต่อ นายไพรวัลย์ วรรณบุตร จำเลยที่ 1 นายจตุรงค์ จงอาสา จำเลยที่ 2 บริษัท ดีคืนดีวัน จำกัด จำเลยที่ 3 นายภูดิท หรือกรรชัย กําเนิดพลอย จำเลยที่ 4 น.ส.ปทิดา กําเนิดพลอย จำเลยที่ 5 บริษัท บีอีซี-มัลติมิเดีย จำกัด จำเลยที่ 6 น.ส.รัตนา มาลีนนท์ จำเลยที่ 7 น.ส.นิภา มาลีนนท์ จำเลยที่ 8 น.ส.อัมพร มาลีนนท์ จำเลยที่ 9 และนางรัชนี นิพัทธกุศล จำเลยที่ 10
ในคำฟ้องบรรยายว่า เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2566 เวลาประมาณ 12 นาฬิกาเศษ นายกรรชัย ได้เชิญนายไพรวัลย์ และนายจตุรงค์ มาในรายการ “โหนกระแส” โดยมีหัวข้อเรื่องว่า “แพรี่” ฟาดกลับ “หลวงพี่น้ำฝน” ปกป้องพระพยอม กรณีที่พระพยอม กัลยาโณได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเกี่ยวกับการเมือง และพาดพิงสถาบัน ซึ่งต่อมา หลวงพี่น้ำฝน ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า ตามกฎมหาเถรสมาคม ห้ามมิให้พระยุ่งเกี่ยวกับการเมือง และไม่เหมาะสมในการพูดเรื่องสถาบัน ปรากฏว่า นายกรรชัย ได้เชิญนายไพรวัลย์ และนายจตุรงค์ มาออกรายการ “โหนกระแส” มีข้อความอันเป็นการร่วมกันหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา
ทั้งนี้ มีนายไพรวัลย์ จำเลยที่ 1 กับพวกหมิ่นประมาทโจทก์โดยกล่าวหาโจทก์ว่าใช้โอกาสที่พระพยอม กัลฺยาโณ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การเมืองและดูหมิ่นสถาบัน มีประชาชนเข้ามาตําหนิติเตียน และโจทก์อาศัยจังหวะและโอกาสได้ทีขี่แพะไล่ ซึ่งหมายถึงพูดซ้ำเติมพระพยอม กัลยฺาโณ ว่า เมื่อพระพยอมเพลี่ยงพล้ำแสดงว่าโจทก์เป็นคนไม่ดี และหาว่าเป็น คนพาลไม่ควรที่จะไปทะเลาะด้วย โดยเปรียบเทียบว่าเอาทองไปรู่กระเบื้อง เป็นคนละเมิดพระธรรมวินัย การลงนะหน้าทองเป็นพระสายเวทย์และไสยศาสตร์ทําคุณไสย และโจทก์เป็นคนไม่ดี และการปลุกเสกแมสก์มียันต์เป็นการทําคุณไสย เป็นพระผู้ใช้เดรัจฉานวิชา เป็นพระที่ไม่น่าเลื่อมใส โจทก์เป็นพระชอบโหนกระแสหรืออยากดัง ชอบปลุกเสกเลขยันต์ ชอบปลุกเสกกระเป๋าแบรนด์เนม ทําให้คนงมงาย เป็นพระวินยาธิการต๊อกต๋อย คือเป็นพระกระจอกต้อยต่ำเป็นการดูหมิ่น ดูแคลน และเหยียดหยาม โจทก์เป็นผู้เลี้ยงชีพโดยมิชอบ ใช้เดรัจฉานวิชา ไม่สมกับการเป็นพระ และกล่าวหาใส่ร้ายว่าโจทก์เป็นพระวินยาธิการ มีคุณสมบัติไม่ดี ไม่งาม ไม่เคยบิณฑบาต มัวแต่จับพระออกบิณฑบาต
นอกจากนี้ ยังกล่าวหาว่า โจทก์เป็นพระวินยาธิการที่ ภาค 14 แต่ไปก้าวก่ายในเขตของพระพยอม โดยใช้ถ้อยคําหยาบคายและลบหลู่ด่าว่าต่างๆ นานา ซึ่งโจทก์ไม่เคยมีพฤติกรรมดังกล่าว และกล่าวหาว่า โจทก์ไปตรวจสอบวัดอ้อมน้อย และถูกด่ากลับมา ทําให้ประชาชนดูหมิ่น ดูแคลน เหยียดหยาม โดยเฉพาะทั้งจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้สลับกันพูดจาดูหมิ่น ดูแคลน เหยียดหยามโจทก์ตลอดเวลา โดยมีจำเลยที่ 4 คอยให้การเสริมเติมแต่งคำพูดเพื่อให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 พูดจา ให้ร้ายป้ายสีโจทก์ จำเลยที่ 4 หยิบประเด็นในเรื่องของกุมารทอง ในเรื่องของการขายผ้า ขายกระเป๋า แล้วให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 มาด่าว่าโจทก์อยู่ตลอดเวลา และกล่าวหาว่าโจทก์ไม่ใช่เป็นพุทธบุตร แต่เป็นพราหมณ์ใส่ผ้าเหลืองห่มจีวรของพระพุทธเจ้า แต่บูชาเคารพเทพของพราหมณ์ เป็นการดูถูกและเหยียดหยาม
โดยเฉพาะจำเลยที่ 2 ด่าโจทก์ว่า เป็นพระบัดซบ เป็นพระวินยาธิการต๊อกต๋อย ด้อยค่าและจำเลยที่ 1 กล่าวหาว่าโจทก์เป็นพระลัชชีธรรมคือ เป็นพระผู้ไม่ละอายและเกรงกลัวต่อ บาป การกระทําของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ดังกล่าวเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น เหยียดหยาม ด้อยค่าความเป็นพระของโจทก์ ซึ่งจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ไม่ควรกระทำเช่นนั้น โดยมีจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ในฐานะบริษัทและกรรมการของบริษัทต้องคอยสอดส่องดูแลมิให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 4 ทําการหมิ่นประมาทโจทก์ ต้องคอยเตือนคอยห้ามคอยปรามแต่ไม่มีการเตือนการห้าม การปราม แต่ปล่อยให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 4 ดําเนินรายการไปจนจบรายการ เพื่อ สร้างเรตติ้งของรายการโหนกระแสและของสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 HD หรือออนไลน์ ส่วนจำเลยที่ 6 ในฐานะที่เป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์และมีจำเลยที่ 7 ถึงที่ 10 เป็นกรรมการ ต้องห้ามปรามและต้องคอยสอดส่องดูแลมิให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 4 ให้สัมภาษณ์และดำเนินรายการอันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์
ข้อความที่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 4 หมิ่นประมาทโจทก์ โจทก์ไม่ได้มีพฤติกรรมดังกล่าว การกระทำของโจทก์ในแต่ละเรื่องไม่ผิดพระธรรมวินัย หากจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เห็นว่า โจทก์กระทำไม่ถูกก็ควรที่จะร้องเรียนไปยังผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ซึ่งจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ทราบดีว่าสามารถทำได้ แต่ไม่กระทำ กลับใช้ช่องทางออกรายการ “โหนกระแส” ดังกล่าว เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังด้วยการโฆษณา”
ต่อมาเวลา 10.30 น. ทนายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร ทนายความและไวยาวัจกรวัดไผ่ล้อม พร้อมด้วยฝ่ายกฎหมาย ศิษยานุศิษย์ได้เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดยมีคณะสงฆ์ร่วมรับฟังในกรณีดังกล่าว ที่ศาลาหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม
นายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร กล่าวว่า กรณีนี้ในเรื่องของการออกมาใช้สิทธิปกป้อง เนื่องจากเป็นการดูหมิ่นดูแคลน ซึ่งทำมาโดยตลอด ซึ่งนายไพรวัลย์ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกรณีของพระพยอม ซึ่งหลวงพี่น้ำฝนได้ออกมาพูดในหลักการ โดยผู้ร่วมรายการและพิธีกรมีหลายท่อนหลายข้อความที่เข้าข่ายหมิ่นประมาทชัดเจน หากปล่อยไปจะเป็นแบบอย่างที่ไม่ดี เพราะหากไม่ชอบพระรูปไหนก็จะด่า ใช้วาจากักขฬะ ด้วยท่าทางที่ชาวพุทธจะไม่เป็นแบบนี้ ซึ่งการออกมาดำเนินการเพื่อจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก
นายศุภภัทร์พจน์ กล่าวอีกว่า กรณีที่พระจะออกมาฟ้องร้องชาวบ้านไม่ได้ ซึ่งจริงแล้วในสถานะหนึ่งของท่านหลังบวชยังมีสถานะเป็นประชาชน รัฐธรรมนูญ คือกฎหมายที่ปกป้องประชาชนทุกคน พระก็มีสิทธิที่จะต้องออกมาปกป้องตัวเองได้ ส่วนกรณีนี้ไม่ได้ออกมาปกป้องเฉพาะหลวงพี่น้ำฝน แต่เป็นการปกป้องพระพุทธศาสนา ซึ่งกลุ่มคนกลุ่มนี้มักจะใช้ถ้อยคำที่ด้อยค่าหลายพื้นที่หลายแห่ง จึงจำเป็นปกป้องพระพุทธศาสนา
"ส่วนการที่มีประเด็นถามว่า หนุ่มกรรชัย นั้นเข้าข่ายเกี่ยงข้องด้วยอย่างไร ซึ่งดูจากพยานหลักฐาน คือการหมิ่นประมาทชัดเจน คือตัวการร่วม ซึ่งมีการชงให้ผู้ร่วมรายการพูดเข้าข้อกฎหมายตลอด ซึ่งมีอัตราโทษเท่ากัน ซึ่งจะเป็นกรณีใครหมิ่นใครก็จะเป็นกลุ่มของบุคคล และกรณีนี้มั่นใจว่าเข้าอย่างชัดเจน" นายศุภภัทร์พจน์ กล่าวปิดท้าย ที่ผ่านมาหลวงพี่น้ำฝน พยายามจะไม่ให้มีการฟ้องร้องเพราะมีการกระทำอย่างต่อเนื่องบ่อยครั้งและครั้งนี้หนักที่สุด
นายศุภภัทร์พจน์ กล่าวต่อว่า ที่บุคคลกลุ่มนี้ หากจะออกมาพูดปกป้องพระพยอม ซึ่งตามหลักกฎหมายพระพยอม มีสิทธิพูดในฐานะประชาชน หลวงพี่น้ำฝนก็มีสิทธิในฐานะที่ให้ความเห็นได้ แต่ในรายการไม่มีการออกมาแสดงให้เห็นว่าพระพยอมท่านพูดได้ถูกต้องอย่างไร แต่กลับมากล่าวถึงหลวงพี่น้ำฝน ในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้อง ทั้งการลงนะหน้าทอง การเปลี่ยนผ้าครองทำมา 18 ปีไม่เคยมีปัญหา โดยเฉพาะในส่วนสำคัญคือ การกล่าวถึงเดรัจฉานวิชา ซึ่งการจัดพิธีไม่มีการเรียกรับบริจาค การไปช่วยเหลือสังคมไม่เคยเปิดรับบริจาค ซึ่งหากแปลแล้วคำนี้คือการที่ทั้งพระและประชาชนใช้วิชาหากิน หารายได้อย่างไม่ถูกต้อง ไปหลอกลวง แต่ที่วัดไม่ได้เป็นการเรียกรับบริจาค ไม่เคยได้เรียกรับผลประโยชน์