xs
xsm
sm
md
lg

ฟังอีกด้านข่าวพระ-เณรถูกไล่ออกจากวัดที่ฉะเชิงเทรา ล่าสุดพระผู้ใหญ่เข้าเคลียร์ปัญหาแล้ว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ฉะเชิงเทรา - ฟังอีกด้านข่าวพระสงฆ์ถูกไล่ออกจากวัดที่ฉะเชิงเทรา บางส่วนบอกสร้างสถานการณ์ ขณะรองเจ้าคณะจังหวัดบอกเป็นเรื่องพูดคุยกันไม่เข้าใจระหว่างผู้ดูแลสำนักสงฆ์ และพระทั้งที่บวชใหม่และจำพรรษา ล่าสุดเคลียร์ปัญหาแล้ว

จากกรณีที่มีกระแสข่าวสะเทือนวงการสงฆ์ไทยซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยล่าสุดเป็นเรื่องพระสงฆ์ 3 รูป สามเณร 5 รูป และลูกศิษยวัดแห่งหนึ่งใน จ.ฉะเชิงเทรา พากันหอบสิ่งของและอุ้มบาตรเดินเท้าออกจากวัดในช่วงกลางดึกจนทำให้ชาวบ้านที่พบเห็นตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นทั้งที่อยู่ในช่วงกลางพรรษาที่พระและเณรจะต้องจำวัด จนเข้าไปสอบถามได้ความว่าถูกเจ้าอาวาสไล่ออกจากวัดเนื่องจากไม่พอใจหลังถูกสอบถามเรื่องเงินทำบุญกฐิน จำนวน 300,000 บาท

และยังบอกอีกว่าเจ้าอาวาสได้หายไปจากวัดนานหลายเดือนพร้อมเงินกฐิน เมื่อกลับเข้าวัดอีกครั้งจึงได้สั่งให้ตำรวจในพื้นที่ไล่พวกตนเองออกจากวัดทั้งที่อยู่ในช่วงกลางดึก จนทำให้สื่อหลายสำนักพาพักเสนอข่าวเรื่องความเสื่อมเสียที่เกิดขึ้นในวงการพระสงฆ์ไทย จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักนั้น

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปสำนักวิปัสสนาแสงธรรมคีรี ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ ม.11 ต.เขาหินซ้อน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง กระทั่งได้พบกับชาวบ้านและพระสงฆ์ฝ่ายปกครองชั้นผู้ใหญ่ทั้งระดับจังหวัด ระดับอำเภอ และระดับตำบล รวมถึงเจ้าหน้าที่จากสำนักงานพระพุทธศาสนา จ.ฉะเชิงเทรา และฝ่ายปกครอง รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ได้รับการเปิดเผยจากชาวบ้านในพื้นที่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการจัดฉากสร้างสถานการณ์ของชาวบ้านบางกลุ่มที่ต้องการสร้างกระแสทำลายความศรัทธาของสำนักสงฆ์แห่งนี้

หลวงตาค้อ หมื่นขัน
ขณะที่ หลวงตาค้อ หมื่นขัน อายุ 65 ปี พรรษา 6 ซึ่งได้รับมอบอำนาจให้ดูแลสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้แทนพระครูไพศาล เจ้าสำนักที่อาพาธจนต้องไปรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนานหลายเดือน กล่าวว่า พระสงฆ์ทั้ง 3 รูป และสามเณร 5 รูปที่ออกไปเดินบนถนน 304 เมื่อคืนวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมาเป็นพระที่บวชมาแล้ว 6 พรรษา 1 รูป และเป็นพระบวชใหม่เมื่อช่วงต้นปีที่ยังไม่ได้พรรษา 1 รูป รวมถึงพระที่บวชมาแล้ว 1 พรรษา 1 รูป

และยังบอกอีกว่าพระกลุ่มนี้มักพากันออกเดินบิณฑบาตในยามวิกาล คือ ตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณ 03.00 น.ของทุกวัน และจะกลับเข้ามาในเวลาประมาณ 11.00 น. ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ผิดพุทธบัญญัติ

นอกจากนั้น ยังทราบว่าพระและเณรกลุ่มนี้มักจะพากันขับรถออกไปตระเวนบิณฑบาตไกลถึง 4 จังหวัดคือ ทั้งที่ จ. ปราจีนบุรี ชลบุรี นครนายก และสมุทรปราการ ไม่เว้นแม้แต่ในพื้นที่เขตเมืองฉะเชิงเทรา หรือตามแหล่งชุมชนที่มีเศรษฐกิจดีและตามตลาดนัดที่สำคัญของแต่ละจังหวัด ซึ่งถือเป็นข้อห้ามไม่ให้มีการบิณฑบาตข้ามเขต

โดยสิ่งของที่ได้รับบิณฑบาตจะนำกลับมาเก็บไว้บางส่วน อีกส่วนหนึ่งได้นำออกขายโดยเฉพาะอาหารแห้ง เช่น อาหารกระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และข้าวสาร


“เมื่ออาตมาได้รับมอบอำนาจเป็นลายลักษณ์อักษรจากพระครูเจ้าสำนัก ให้รักษาการแทน ได้ทำการตักเตือนว่าสิ่งที่พระสงฆ์กลุ่มนี้และสามเณรกระทำไม่ถูกต้องตามพุทธบัญญัติและระเบียบของสำนักสงฆ์ แต่ถูกต่อว่ากลับมาและไม่รับฟัง โดยอ้างว่าจะต้องนำเงินไปใช้จ่ายในเรื่องของการส่งสามเณรไปเรียนหนังสือ สุดท้ายไม่สามารถปกครองกันได้”

ส่วนกรณีที่มีการกล่าวหาว่า พระครูไพศาล ซึ่งเป็นเจ้าสำนักหายไปนานหลายเดือนเพราะเดินทางไปรักษาตัวด้วยอาการป่วยจากโรคเบาหวาน และแขนขาอ่อนแรง โดยยืนยันว่าไม่ได้นำเงินกฐินหนีหายไปไหน

หลวงตาค้อ ยังได้ชี้แจงเรื่องเงินทำบุญกฐินจำนวน 300,000 บาท ว่า เมื่อหักค่าใช้จ่ายในการจัดงานกฐินแล้ว สำนักสงฆ์มีเงินเหลืออยู่จำนวน 250,000 บาท และเมื่อจ่ายค่าใช้จ่ายให้แก่พระสงฆ์ที่มาช่วยงาน และพระที่มาจำพรรษาทั้งหมดแล้วเหลือเงินอยู่เพียงประมาณแสนกว่าบาท

โดยได้นำไปจ่ายค่าไฟฟ้าเดือนละประมาณ 8,000-12,000 บาท ที่ติดค้างมานานเกือบ 1 ปี จึงทำให้มีเงินเหลือไม่มากนัก ส่วนพระกลุ่มที่เดินออกไปจากวัดนั้นเพิ่งจะช่วยจ่ายค่าไฟฟ้าในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมาเนื่องจากพระครูเห็นว่ามีรายได้จากการออกไปบิณฑบาตจึงให้จ่ายค่าไฟฟ้ากันเอง


พร้อมยืนยันว่ากรณีที่กลุ่มพระสงฆ์และสามเณรพากันเดินออกจากสำนักสงฆ์ในช่วงกลางดึกนั้น ไม่ใช่เป็นการไล่ออกจากพื้นที่แต่เป็นการเดินออกไปกันเอง

“ทางสำนักเพียงแต่บอกว่าให้พระสงฆ์กลุ่มนี้เข้ามาพูดคุยกันในเวลาบ่ายโมงของวันนี้ (10 ส.ค.) เท่านั้น ซึ่งมีพระสงฆ์ผู้ปกครองชั้นผู้ใหญ่ที่นำโดยรองเจ้าคณะจังหวัด มาทำการตรวจสอบและเจรจาตกลงกัน จนได้ขอสรุปว่าให้มีการเปลี่ยนพระผู้ปกครองสงฆ์ใหม่ โดยให้เจ้าคณะตำบลเข้ามารักษาการแทนอาตมา” หลวงตาค้อ กล่าว

พระครูปริยัติธรรมกิจ รองเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา
อย่างไรก็ตาม จากการสอบถาม พระครูปริยัติธรรมกิจ (มาโนชญ์ มหาปุญฺโญ ป.ธ.3 พธ.บ พธ.ม) รองเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ (วัดเมือง) พระอารามหลวง ทราบว่าก่อนหน้านี้พระกลุ่มที่เดินออกจากวัดได้เคยทำเอกสารร้องเรียนเรื่องเจ้าอาวาสที่กลับเข้ามาบวชใหม่และเหตุใดจึงยังใช้ฉายาเดิม รวมทั้งยังมีการร้องเรียนเรื่องของเงินกฐินที่ไม่โปร่งใส

ขณะที่การลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงในวันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้นิมนต์เจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล และเจ้าอาวาสวัดเขตข้างเคียงเข้าร่วมประชุม ซึ่งได้ข้อสรุปว่า ในธรรมเนียมของสงฆ์นั้นการเข้าพรรษาจะไม่ไปค้างคืนที่ใด และการให้พระสงฆ์ออกจากวัดช่วงเข้าพรรษาธรรมเนียมไม่เคยมี ส่วนเรื่องการออกรับบิณฑบาตในช่วงเวลา 03.00 น.และ 04.00 น.นั้นควรรอให้ถึงช่วงสว่างก่อน และควรกลับเข้าวัดไม่เกินเวลา 09.00 น.

“เบื้องต้นได้ให้พระผู้ดูแลเก่าลาออกไปก่อน เพื่อให้เจ้าคณะอำเภอตั้งเจ้าคณะตำบลเข้ามาดูแลแทนเจ้าสำนักเดิม และให้มีการวางกฎระเบียบใหม่ และทำกิจของทางวัดตามที่วางไว้ ส่วนกลุ่มพระสงฆ์ที่ออกไปเดินเมื่อคืนก่อนจะให้กลับมาอยู่ที่สำนักสงฆ์ต่อไป และจะพิจารณาว่าในช่วงพรรษานี้ท่านจะทำตามกฎระเบียบที่เจ้าสำนักใหม่วางไว้ให้ได้หรือไม่”

ส่วนเงินกฐินที่ยังเหลือยู่นั้น ได้มอบหมายให้ดูแลใหม่เร่งเข้ามาจัดการให้เรียบร้อย ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าเงินไม่ได้หายไปไหนแต่มีการใช้จ่ายไปตามรายการที่ผู้ดูแลสำนักนำมาแจกแจง แต่พบว่ามีส่วนที่การกู้ยืมกันไปซึ่งถือเป็นเองไม่ถูกต้องเพราะเงินของวัดจะให้ผู้นั้นผู้นี้มาหยิบมายืมไปไม่สมควร 


พระครูปริยัติธรรมกิจ รองเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา ยังบอกอีกว่า ในส่วนของสามเณรที่เดินออกจากสำนักสงฆ์นั้นจะมีการหาที่ศึกษาต่อให้ใหม่ โดยไม่ต้องเดินทางไปเรียนไกลถึงวัดแจ้งประจันตาม จ.ปราจีนบุรี เพื่อตัดปัญหาเรื่องการออกไปเดินบิณฑบาตเพื่อหาเงินเป็นค่าน้ำมัน

"ส่วนพระสงฆ์ 3 รูปจะให้กลับมาอยู่จนครบพรรษา เพราะเมื่อไม่มีเรื่องของการส่งสามเณรไปเรียนหนังสือแล้วจะไม่มีเรื่องให้เดือดร้อนในการหาค่าน้ำมัน และหลังจากนี้จะได้มีการตักเตือนในการกระทำเรื่องที่ไม่สมควรโดยพลการ ที่แม้จะไม่มีความผิดร้ายแรงและเป็นเพียงเรื่องการขาดพรรษา แต่เมื่อมีข่าวดูเป็นเรื่องไม่เหมาะ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วยังไม่มีการดำเนินการถึงขั้นที่จะไล่ออกจากสำนักสงฆ์แต่อย่างใด เพียงแต่ว่าเป็นเรื่องของการคุยกันไม่รู้เรื่องเท่านั้น" พระครูปริยัติธรรมกิจ กล่าว




กำลังโหลดความคิดเห็น