ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - “สุดที่รัก พันธุ์สายเชื้อ” ประธานหอการค้าโคราช กังวลตั้งรัฐบาลช้าฉุดเศรษฐกิจชะลอตัว จับจ่ายน้อย นักลงทุนหาย เหตุการเมืองยังไม่มีเสถียรภาพ ประชาชนนักลงทุนขาดความมั่นใจ วอนทุกฝ่ายเห็นแก่บ้านเมืองเป็นหลัก อย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว และยอมถอยคนละก้าวเพื่อให้บ้านเมืองไปได้และตั้งรัฐบาลใหม่ได้โดยเร็ว
วันนี้ (25 ก.ค.) นายสุดที่รัก พันธุ์สายเชื้อ ประธานหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา กล่าวถึงสถานการณ์เศรษฐกิจการลงทุนภายในประเทศว่า ตอนนี้ได้รับผลกระทบอย่างมาก อันเนื่องมาจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่มีเสถียรภาพ เพราะยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคก้าวไกล (กก.) หยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) นับตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ไปจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งเป็นผลทำให้การโหวตให้นายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทยไม่ผ่าน พรรคก้าวไกลจึงต้องส่งไม้ให้พรรคเพื่อไทย (พท.) เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และมีกำหนดโหวตเลือกนายกฯ อีกครั้งในวันที่ 27 กรกฎาคมนี้
สถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้น จริงๆ ส่งผลกระทบมาตั้งแต่หลังเลือกตั้ง ส.ส.แล้ว โดยภาคธุรกิจชะลอตัวลง เช่น ภาคการลงทุนเริ่มเติบโตช้าลง การจับจ่ายใช้สอยลดลง แม้แต่ธุรกิจค้าปลีกก็ยังได้รับผลกระทบ ดังนั้น ถ้าได้รัฐบาลใหม่เร็วขึ้นก็เชื่อว่าจะเรียกความมั่นใจให้แก่ประชาชนมากยิ่งขึ้น ทำให้กล้าจับจ่ายใช้สอย เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาการอัดฉีดงบประมาณจากภาครัฐ และรัฐจะต้องอัดเงินเข้าสู่ภาคเอกชนค่อนข้างเยอะ
หากสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เร็ว การจัดสรรและอนุมัติงบประมาณก็จะเร็วขึ้น ทำให้ภาคเอกชน และภาคประชาชนมีความมั่นใจที่จะใช้เงิน ซึ่งทำให้การจับจ่ายใช้สอย การจ้างงาน จะดีขึ้นเป็นเงาตามตัว แต่ ณ วันนี้ผู้ลงทุนไม่กล้าขยับ การจัดงาน-จ้างงานต่างๆ ก็ยังไม่กล้ารับ ผู้รับเหมายังไม่มั่นใจ จะรับจ้างงานก็ยาก เพราะถ้ารับงานไปแล้ว ทำเสร็จแล้ว แต่กลับเบิกจ่ายไม่ได้ ติดขัดไปหมด ต้องรอแค่รัฐบาลใหม่เพียงอย่างเดียว
ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องมีรัฐบาลใหม่ให้เร็วที่สุด และต้องเป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพด้วย เพราะถ้าไม่มีเสถียรภาพ ภาคเศรษฐกิจ-การลงทุนก็จะลำบาก ซึ่งพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยต่างได้คะแนนเสียงจำนวนมากจากประชาชน แต่ก้าวไกลจะมีเงื่อนตายอยู่หลายเรื่องที่จะต้องแก้ จึงทำให้ ณ เวลานี้การตัดสินใจที่ยากลำบากจะอยู่ที่พรรคเพื่อไทย เพราะจะต้องวางแผนให้บ้านเมืองสงบ ก็ต้องขอร้องให้ทุกฝ่ายเห็นแก่บ้านเมืองเป็นหลัก อย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว บ้านเมืองจะไปได้ เราต้องเดินไปพร้อมกัน
ส่วนการโหวตเลือกนายรัฐมนตรีรอบที่ 2 ในวันที่ 27 กรกฎาคมนี้ โดยส่วนตัวประเมินสถานการณ์ยากมาก รู้สึกกังวลและกลัวว่าโหวตรอบ 2 จะยังไม่ได้ตัวนายกฯ คนใหม่ เพราะถ้าไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าจะประวิงเวลาออกไปอีกนานแค่ไหน นักธุรกิจทุกคนต่างกังวลและลุ้นให้วันที่ 27 กรกฎาคมนี้ได้ข้อสรุป แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าถามจริงๆ ต่างก็มองว่าเป็นไปได้ยากเพราะตัวแปรมีเยอะมาก แต่ก็อยากจะให้ทุกคนทุกฝ่ายมองผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก และทางออกอยู่ตรงไหน เราก็ต้องเดินไปพร้อมกัน
“แต่ละพรรคการเมือง รวมถึง ส.ว.ด้วย อาจต้องยอมถอยกันคนละก้าว เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปได้ และให้กรอบมันกว้างขึ้น พรรคก้าวไกลก็ต้องยอมถอย เพื่อไทยก็ต้องยอมปรับ และพรรคอื่นๆ ก็ต้องยอมปรับไปด้วยกัน แต่แน่นอนว่าเราจะต้องปรับด้วยความเป็นประชาธิปไตย และเติบโตในการเป็นประชาธิปไตยให้มากขึ้นด้วย” นายสุดที่รักกล่าวในตอนท้าย