พิจิตร - ศึกผลประโยชน์ "วัดหลวงพ่อเงินบางคลาน" ไม่ลงตัว..แถมเรื้อรังมาร่วมทศวรรษ ทำศรัทธาสาธุชนหดหายบางตา ตลาดพระเครื่องที่เคยคึกคัก-เงินสะพัดเหมือนตลาดสด เงียบเหงาชัด วัตถุมงคลทุกชนิดถูกปิดการจำหน่าย ชาวบ้านขน “หลวงพ่อเงิน” รุ่นปืนแตก-ฟ้าคำรน ปล่อยเช่าไปพลาง
วัดหิรัญญาราม วัดบางคลาน หรือ "วัดวังตะโก" วัดหลวงพ่อเงินบางคลาน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่านเก่า อ.โพทะเล จ.พิจิตร ซึ่งหลวงพ่อเงินสร้างไว้ปี พ.ศ. 2377 ยุคสมัยหนึ่งครั้งที่กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์เสด็จถึงบางคลาน เมืองพิจิตร ยังต้องตามหา "ท่านเงิน" หรือ “หลวงพ่อเงิน” ผู้ทรงคาถาอาคมเข้มขลังแห่งโพทะเล
และด้วยแรงศรัทธาทำให้ลูกศิษย์จำนวนมากขอเครื่องราง พระเครื่อง ของขลัง จนโด่งดังถึงทุกวันนี้ เช่น รูปหล่อหลวงพ่อเงินพิมพ์นิยม และหลวงพ่อเงินปี 15 ยุคหลวงพ่อเปรื่อง
จากวัดบางคลานกระทั่งเป็นชื่อ "วัดหิรัญญาราม" มีพระเครื่องออกให้เช่าบูชาหลายรุ่น วัดมีรายได้เข้ามาต่อเนื่องเรียกว่า..เป็นอันดับต้นๆ ของจังหวัดพิจิตรไปแล้ว ท่ามกลางความเจริญทางวัตถุนิยมรอบๆ วัด จนชาวบ้านสามารถค้าขายอะไรก็ได้
กลายเป็นชุมชนย่อมๆ ดูแลอาณาบริเวณรอบๆ พิพิธภัณฑ์นครไชยบวร ซึ่งชั้นบนประดิษฐานรูปหล่อเท่าองค์จริงและหุ่นขี้ผึ้งของ "หลวงพ่อเงิน" อันเป็นที่เคารพนับถือเลื่อมใส แรงศรัทธา ทำให้คนทั้งประเทศหลั่งไหลหยอดตู้ทำบุญเพื่อบูรณะวัดไม่ขาดสายกระทั่งปัจจุบันนี้แม้มีข่าวทางด้านลบก็ตาม เพียงแต่บรรยากาศเงียบลงอย่างเห็นได้ชัด
นายสาธิต ฤทธิ์ณรงค์ อายุ 52 ปี ซึ่งอาศัยอยู่ไม่ห่างวัดบางคลาน เปิดเผยว่า เพิ่งมาดูแลดอกไม้รูปเทียนและเฝ้าตู้รับบริจาคต่างๆ ของวัดได้ประมาณ 3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งก็มีผู้คนจากทั่วสารทิศเดินทางมาที่วัดบางคลานเฉลี่ยวันละ 400-500 คน
กระทั่งเมษายน 2566 ที่ผ่านมามีกลุ่มชายฉกรรจ์บุกเข้าไปในวัดบางคลาน ทำร้ายคนในวัดบาดเจ็บนับสิบ มีการแจ้งความดำเนินคดีกัน กรกฎาคม 66 ฝ่ายปกครอง ตำรวจเข้าควบคุมพื้นที่วัดบางคลานซ้ำอีก ทำให้ผู้คนลดน้อยไปอีกเหลือประมาณ 200 คนต่อวัน แต่หลายคนที่เดินทางมาวัดบางคลานยินดีทำบุญหยอดตู้บริจาคเงินบริเวณหน้ารูปหล่อหลวงพ่อเงินและรูปหล่อหลวงพ่ออื่นๆ โดยไม่สนข่าวแต่อย่างใด
เพียงแต่..ไม่สามารถไปชมหุ่นขี้ผึ้งหลวงพ่อเงินได้ เนื่องจากไม่มีคนเฝ้าดูแล และที่สำคัญปิดการจำหน่ายวัตถุมงคลที่วิหารฯเด็ดขาด
นับจากนั้นบรรยากาศก็ย่อมเงียบไป เทียบไม่ได้กับยุคสมัยเศรษฐกิจเฟื่องฟูก่อนโควิดฯ มีผู้คนหลั่งไหลแห่เข้าวัดนับพันคน ทั้งหยอดตู้ทำบุญ เช่าบูชาวัตถุมงคลทุกรุ่นของหลวงพ่อเงิน ณ ศาลาฯ ก่อนย้ายขึ้นบนวิหาร ช่วงนั้นชาวบ้านมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ ขายสินค้าทุกชนิด เรียกว่า..สะพัดเหมือนเป็นตลาดสด คึกคักทั้งของกิน ของฝาก และพระเครื่องภายในวัดบางคลาน
กลุ่มญาติโยมที่อยู่หน้าศาลาฯ วัดบางคลานพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เหตุการณ์ความขัดแย้งของคน 2 กลุ่มยืดเยื้อนับจากปี 2557 จนถึงวันนี้ก็ยังไม่จบ ปัญหาล้วนมาจากเรื่องเงินวัด หลังจากเจ้าคณะจังหวัดพิจิตรมีคำสั่งปลดอดีตเจ้าอาวาส (ปัจจุบันมรณภาพไปแล้ว) อ้างใช้เงินวัดผิดวัตถุประสงค์ และมีการตั้งรักษาการแทนเจ้าอาวาสให้เข้ามาจัดการเงินบริจาคและทรัพย์สินของวัด แต่ชาวบ้านไม่ชอบ เพราะไม่ใช่คนในพื้นที่ จึงไม่ยินยอมให้เข้าวัด จึงเกิดศึกระหว่างสองฝ่ายถึงวันนี้ แต่ทางวัดฯ ก็เปิดให้ประชาชนไปนมัสการรูปหล่อหลวงพ่อเงิน ห้วงเวลา 08.00-17.00 น.ทุกวัน
หญิงสูงวัยที่เปิดแผงพระรายหนึ่งบอกว่า ปัญหาความขัดแย้งยืดเยื้อไม่จบ ชาวบ้านที่เคยค้าขายของฝากและของที่ระลึกในวัดกันคึกคักก็ขายไม่ได้ นักท่องเที่ยวไม่ค่อยมี แต่ก็ยังดีพอเกิดปัญหาวัตถุมงคลบนวิหารหลวงพ่อเงินปิดการจำหน่าย ตนจึงนำพระรุ่นเก่า เช่น รูปหล่อหลวงพ่อเงิน รุ่นปืนแตกปี 2528 รุ่นฟ้าคำรน ปี 2534 มาปล่อยให้เช่าบูชา องค์ละ 500 บาท ปรากฏว่ามีคนที่ศรัทธาหลวงพ่อเงินเป็นทุนเดิมขอแบ่งเช่าบูชาไปบ้างแล้ว
เมื่อถามว่า หลวงพ่อเงิน รุ่นปืนแตก-ฟ้าคำรน ที่เอามาปล่อยเช่าเป็นของแท้หรือไม่ เจ้าของแผงพระบอกเพียงว่า พระเครื่องก็เป็นของวัด ได้มานานจึงนำมาปล่อยเช่า ส่วนพระเครื่องรุ่นอื่นๆ ก็มี ล้วนแต่ไม่ใช่พระราคาแพงๆ หลักร้อยเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า วันนี้ต้องยอมรับว่าบรรยากาศภายในวัดบางคลาน เงียบสงบท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น ไม่ค่อยคึกคัก แต่ก็ยังพอมีนักท่องเที่ยวหรือพุทธศาสนิกชนจากต่างถิ่นแวะเวียนนำดอกไม้ ธูปเทียน ขึ้นไปบนวิหารชั้น 2 เพื่อกราบไหว้ขอพร “หลวงพ่อเงิน” และหยอดเงินใส่ตู้ทำนุบำรุงพุทธศาสนาตามความเชื่อ โดยไม่สนความขัดแย้งของคนทั้งสองกลุ่ม
แม้จะมีกลุ่มชาวบ้าน ลูกศิษย์เจ้าอาวาสรูปเดิมที่คัดค้าน-คอยต่อต้านเจ้าอาวาสรูปใหม่ วนเวียนอยู่หน้าวัดบางคลานและใต้ถุนศาลาการเปรียญหลังเก่าของวัดฯ แต่ก็ไม่มีอะไรแตกตื่นหรือรบกวนนักท่องเที่ยว กลายเป็นเหมือนคนอยู่ร่วมกับวัดบางคลานไปแล้ว และยังมีพระสงฆ์ประมาณ 4-5 รูปทำวัตรเย็นเป็นปกติ เพียงแต่มีกุญแจ และป้ายคำสั่งต่างๆ ของทางราชการปิดประกาศไว้แสดงให้เห็นถึงปัญหาผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัว