ราชบุรี - เปิดใจคุยลูกสะใภ้หลังศาลให้ประกันตัว ยืนยันไม่ได้ทำร้ายแม่สามี เผยตอนไปเฝ้าที่ รพ. แม่บอกโจรพูดว่ามึงทำอะไรไว้กับไอ้เจมส์ อดีตสามีเก่าแม่ ขณะที่ญาติงัดหลักฐานเด็ดเชื่อพิสูจน์ได้ว่า 2 ผัวเมียไม่ได้ทำร้ายแม่ตัวเอง
จากคดีที่กัน จอมพลัง ได้เดินทางมาติดตามคดีที่นายธวัชชัย คำใส อายุ 31 ปี ได้ไปร้องขอให้ช่วยติดตามคดีที่นางมณีรัตน์ คำใส อายุ 57 ปี ผู้เป็นแม่ ถูกน้องชายคือ นายวรายุทธ คำใส อายุ 28 ปี และนางละอองดาว จันทร์ยิด อายุ 28 ปี น้องสะใภ้ ได้ปลอมตัวเป็นโจรเข้าไปปล้นผู้เป็นแม่และทำร้ายแม่จนอาการสาหัส ซึ่งเหตุเกิดที่บ้านเช่าเลขที่ 29/10 หมู่ 17 ต.ปากแรต อ.บ้านโป่ง เมื่อวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา และในวันที่ 16 ก.ค.66 ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการขออนุมัติหมายจับจากศาล จ.ราชบุรี ไปจับลูกชายและลูกสะใภ้ในข้อหา ร่วมกันชิงทรัพย์โดยใช้อาวุธ วันนี้ (18 ก.ค.) เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวลูกชายและลูกสะใภ้ไปฝากขังที่ศาล จ.ราชบุรี โดยมีญาติของลูกสะใภ้ไปขอประกันตัวในชั้นศาล เนื่องจากมีอาการป่วยและจะต้องไปพบแพทย์ในวันพรุ่งนี้
ผู้สื่อข่าวได้สอบถาม พ.ต.อ.ปิยะพงษ์ วงศ์เกตุใจ ผกก.สภ.บ้านโป่ง ถึงหลักฐานในการก่อเหตุของผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ทราบว่า เป็นคำบอกเล่าของแม่ผู้ต้องหาซึ่งมีน้ำหนักพอที่จะเอาผิดได้ แต่ทั้งนี้ จะต้องหาหลักฐานมาประกอบ แต่วันนี้ได้ส่งตัวผู้ต้องหาไปฝากขังต่อศาล และคัดค้านการประกันตัว ส่วนเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนกำลังไล่กล้องวงจรปิดตามเส้นทางเพื่อนำมาเป็นหลักฐาน การตรวจดีเอ็นเอในห้องที่เกิดเหตุซึ่งต้องรอประมาณ 1 เดือน
และจากการสอบพยานบุคคล เชื่อว่าจะทำให้สามารถส่งฟ้องต่อศาลได้ แม้ว่าในที่เกิดเหตุจะยังไม่พบอาวุธที่แม่อ้างว่ามีทั้งสากกะเบือ และมีด แต่เจ้าหน้าที่กำลังไปตรวจค้นที่บ้านของผู้ต้องหาทั้ง 2 คนแล้ว ส่วนการไล่กล้องวงจรปิดจะเริ่มจากที่แม่ออกมาจากโรงงาน ซึ่งทราบว่าออกมาเวลา 07.30 น ของวันที่ 13 ก.ค. และกลับถึงห้องเช่า 07.34 น. และถูกก่อเหตุหลังจากที่มาถึงห้องเช่าแล้ว ส่วนการตรวจหาสารเสพติดในตัวของนายวรายุทธ คำใส นั้นพบว่ามีการใช้สารเสพติดด้วย
ต่อมา ในช่วงเย็นนางละอองดาว จันทร์ยิด ซึ่งเป็นลูกสะใภ้ของผู้บาดเจ็บ ได้รับการประกันตัวในวงเงิน 200,000 บาท และได้ไปกราบขอพรที่ศาลหลักเมืองราชบุรี เพื่อขอให้ผ่านพ้นในเรื่องนี้ไปได้ และขอให้มีเงินมาช่วยประกันสามี เพราะสงสารที่ต้องมาติดคุกทั้งที่ไม่ได้ทำผิด ก่อนจะมาเปิดใจว่า ในวันที่เกิดเหตุตนเองนอนอยู่ที่บ้านเพราะปวดท้อง เนื่องจากตนป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูกและไม่ค่อยมีแรง ส่วนสามีนั้นจะไปทำงานแต่บังเอิญว่ารถจักรยานยนต์ที่ใช้อยู่น้ำมันหมด จึงเอารถจักรยานยนต์อีกคันไปซื้อน้ำมันที่ปากซอย ซึ่งมีคลิปในกล้องวงจรปิดที่ระบุเวลา 07.48 น. และช่วงสายแม่ของตนเองให้พาไปธนาคารในตัวบ้านโป่ง
ส่วนคลิปที่มีผู้หญิงยืนยันว่ารถจักรยานยนต์ หน้าห้องเช่าของแม่ในเวลา 07.55 น.นั้นไม่ใช่ตนเอง จากนั้นในเวลาประมาณ 10.00 น. มีคนโทร.มาบอกว่าแม่ถูกทำร้ายอยู่ที่โรงพยาบาลบ้านโป่ง สามีจึงไปรับตนที่ธนาคารและไปดูแม่ที่โรงพยาบาล แต่ทางโรงพยาบาลให้กลับมาเอาเอกสารของแม่ที่บ้าน ประกอบกับพี่ชายบอกให้มาถามบ้านที่มีกล้องวงจรปิดว่าเห็นชัดไหม เพื่อจะได้นำไปเป็นหลักฐานหาคนที่ทำร้ายแม่ ซึ่งตนนั้นไปยืนที่หน้ากล้องวงจรปิดจริงในเวลา 11.00 น. แต่ไม่ได้เข้าไปในห้องเพราะคนแถวนั้นบอกให้รอตำรวจ ก็รออยู่นานไม่เห็นตำรวจมาจึงได้ไปที่โรงพักเพื่อสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งตำรวจถามว่าได้ทำร้ายแม่หรือไม่ ซึ่งสามีบอกว่าไม่เคยทำ
จากนั้นกลับบ้านมาอาบน้ำแล้วสามีไปเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาล ซึ่งตอนนั้นแม่พูดกับสามีของตนเองว่า คนที่มาทำร้ายพูดว่า “มึงทำอะไรไว้กับไอ้เจมส์” ซึ่งเป็นอดีตแฟนเก่าของแม่ที่เลิกกันไปแล้ว และเคยมีเรื่องกันถึงขนาดมีการชักปืนมาจะยิง จนแม่ไปแจ้งความไว้ที่ สภ.บ้านโป่ง แต่หลังจากนั้นมีหมายจับมาหาตน 2 คน รู้สึกงงว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งที่ไม่ได้เป็นคนทำร้ายแม่ แต่ทำไมแม่มาแจ้งความเอาผิด ตอนนี้อยากจะหาเงินมาประกันสามีออกมา แต่พรุ่งนี้ตนต้องไปพบหมอ ที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหากับแม่ อยากขอโอกาสให้ตนกับแฟนได้พิสูจน์ตัวเองบ้างว่าไม่ได้ทำอะไรผิด
ต่อมา นายสารสิญ พุทธคุณ อายุ 65 ปี ซึ่งเป็นคนที่อยู่ห้องเช่าติดกับผู้บาดเจ็บ กล่าวว่า ในช่วงเวลา 07.30 น. ตนกลับเข้าบ้านและหลังจากนั้นเห็นผู้บาดเจ็บกลับมาที่ห้อง ก่อนจะได้ยินเสียงทะเลาะกัน ได้ยินเสียร้องให้ช่วย แต่ตนไม่ได้ออกไปดู จนกระทั่งเห็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิมาช่วยนำคนเจ็บออกมา และคนข้างบ้านบอกว่าถูกลูกชายทำร้าย ซึ่งตนนั้นไม่เชื่อเพราะช่วงกลางคืน 2 สามีภรรยามาหาผู้บาดเจ็บที่บ้านแต่ไม่เจอ และกลับมาอีกช่วงเวลาประมาณ 22.00 น. ไม่เจอผู้บาดเจ็บ ซึ่งตนยังให้เงินทั้งคู่เพื่อให้ไปหาหมอด้วย ส่วนคนร้ายนั้นอาจจะแอบอยู่ในห้องก่อน แต่ที่ผ่านมาเคยเห็นแฟนเก่าของผู้บาดเจ็บมาขนของ รวมทั้งรถจักรยานยนต์ของผู้บาดเจ็บไป และมีการใช้ปืนจี้หัวผู้บาดเจ็บด้วย ซึ่งมีการแจ้งความดำเนินคดีกัน แต่เหตุครั้งนี้ไม่รู้ว่าเป็นใครที่มาทำร้าย
ซึ่งในคดีนี้มีจุดสังเกตที่ทางญาติของผู้ต้องหาได้นำมาเป็นหลักฐานในการต่อสู้คดี คือเรื่องของกล้องวงจรปิดในช่วงที่เกิดเหตุนั้นเวลาห่างกันไม่ถึง 10 นาที ซึ่งร้านที่ผู้ต้องหาไปซื้อน้ำมันนั้นห่างจากบ้านที่เกิดเหตุประมาณ 13 กิโลเมตร รวมทั้งมีพยานที่เป็นบุคคลที่พบเห็นผู้ต้องหาทั้งสองที่บ้าน และที่ร้านค้าหลายคน ทางญาติจะได้นำไปหลักฐานและไปเป็นพยานว่าไม่ได้เป็นคนทำร้ายแม่