นครสวรรค์ - แม่โพสต์ทวงความเป็นธรรมให้ลูกสาวเชียร์เบียร์..หลังออกทำงานร้านอาหารเขตเมืองปากน้ำโพ นั่งคุยลูกค้าคุ้นเคยอยู่ดีๆ ถูกกล่าวหาจับหนอนน้อย โดนตบหน้าหงาย-ปากแตกคาโต๊ะ แถมกร่างท้าให้แจ้งความเอาเรื่องซ้ำ ล่าสุดพบคู่กรณีเป็นอดีตทหารวัยเกษียณ
ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “Sangrung Ratchakit” ได้นำภาพกล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพเหตุการณ์หญิงสาวถูกชายรายหนึ่งทำร้ายร่างกายภายในร้านอาหารแห่งหนึ่งพื้นที่เมืองนครสวรรค์ มาโพสต์เผยแพร่ผ่านกลุ่มสาธารณะแจ้งข่าวเตือนภัยของชาวนครสวรรค์
พร้อมข้อความระบุถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า “คลิปนี้เป็นเหตุการณ์เมื่อคืนวันศุกร์ 23 มิ.ย. 66 #กันจอมพลัง ซอยวัชระค่ะ ขออนุญาตไม่แจ้งชื่อร้านนะคะ..ลูกสาวของเราทำงานเป็นเด็กเชียร์เบียร์ที่หัวหน้างานมีการจับลงตามร้านต่างๆ ทุกครั้งที่ทำงานก็ทำเป็นปกติทั่วไปที่เด็กสาวเชียร์เบียร์ทำน่ะค่ะ งานที่ไหนถ้าไม่ไกลมากจนพ่อแม่เป็นห่วงเขาก็จะรับหมดทุกงาน
แต่ในคลิปนี้ลูกค้าอ้างว่าลูกสาวไปจับอวัยวะเพศของเขา แล้วเหตุการณ์ก็ตามดังคลิปเลย มีการข่มขู่ว่า "เป็นคนใหญ่คนโตถ้ามึงไปแจ้งความมึงต้องเอากูให้ลง ถ้าเอากูไม่ลงกูจะกลับมาเก็บมึง" ตอนนี้แจ้งความไว้ที่กองใต้แล้วตรวจร่างกายเรียบร้อย แล้วตำรวจแจ้งว่าให้หาหลักฐานมาเอง #นั่นลูกกูไม่ใช่ลูกมึง #มึงไม่มีสิทธิ์จะทำอะไรลูกกู #และจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด โพสต์นี้เพื่อเป็นประโยชน์ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง #หวังอีกครั้งว่าจะมีคนใดสักคนเข้ามาช่วยเหลือนะคะ”
เมื่อผู้สื่อข่าวติดต่อสอบถามไปยังผู้โพสต์ ทราบว่าหญิงสาวที่ถูกกระทำตามที่ปรากฏในคลิปภาพคือ น.ส.สุสิตา อายุ 20 ปี ทำงานเป็นพนักงานเชียร์เบียร์ตามร้านอาหารต่างๆ ซึ่งเจ้าตัวได้โชว์ร่องรอยการบาดเจ็บบริเวณใบหน้า ก่อนจะกล่าวถึงเหตุการณ์ว่า คืนวันนั้นตนก็ไปทำงานที่ร้านอาหารตามปกติ
ซึ่งก็เดินเชียร์ขายสินค้าตามโต๊ะต่างๆ แล้วก็ไปพบกับลูกค้าคู่กรณีที่เคยคุ้นหน้าคุ้นตา เรียกให้ตนไปหา บอกจะช่วยซื้อ 3 ขวด จากนั้นตนก็ไปเอาเบียร์มาเสิร์ฟให้ แล้วก็นั่งคุยเป็นเพื่อนกับลูกค้าคู่กรณีรายนั้น แต่ในระหว่างที่พูดคุยกันไปมา และมีการโดนแตะเนื้อต้องตัวกัน ปรากฏว่าตนก็ถูกชายคู่กรณีรายนั้นง้างมือขึ้นมาตบเข้าที่ใบหน้าอย่างแรง จนต้องรีบเอามือไปจับข้อมือของลูกค้าคู่กรณีเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เขาตบซ้ำ แต่ก็ยังไม่วาย ถูกเขาด่าสาดเสียเทเสีย หาว่าไปล้วงจับหนอนน้อยของเขา แถมยังพูดข่มขู่ตนประมาณว่าเป็นคนใหญ่คนโต ถ้าไม่แน่จริง ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก
เมื่อถามว่าเอามือล้วงไปจับหนอนน้อยตามที่ชายรายนั้นกล่าวอ้างจริงหรือไม่ น.ส.สุสิตายืนยันว่าไม่เป็นความจริง ตอนนั้นยอมรับว่าระหว่างที่พูดคุยกัน ต่างคนต่างเมากันทั้งคู่ และมีการพูดจาหยอกล้อกัน แล้วตนก็เอื้อมมือไปจับพุงของเขาบีบตามประสาคนรู้จักกันก็แค่นั้น
ซึ่งก็มีเพื่อนสาวที่ทำงานอยู่ที่เดียวกัน ยืนยันได้ว่าเห็นตนเอามือไปจับบีบพุงของเขาจริงๆ แต่ดันกลายเป็นว่าเขาโมโห ง้างมือมาตบที่ปากตนอย่างแรง จนปากแตกเลย แล้วยังหาว่าตนไปจับหนอนน้อยเขาอีก จึงทำให้ตนรู้สึกอายมาก แต่ก็เอามือไปจับข้อมือเขาไว้เพื่อป้องกันตัว แล้วก็ถามเขาว่า ต้องตบกันเลยหรือ จากนั้นกลุ่มเพื่อนๆ ที่มาด้วยกันกับเขาก็ช่วยดึงห้ามปรามก่อนที่ตนจะลุกออกไปนั่งกับลูกค้าที่โต๊ะอื่น
“ตอนนั้นทั้งมึนทั้งชาไปหมดทั้งหน้า แถมปากยังแตก อารมณ์ตอนนั้นก็โมโหเกือบถึงขีดสุด จะหยิบขวดที่อยู่บนโต๊ะลุกไปตีคืนให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไปเลยเหมือนกัน แต่ก็ยังมีสติ ข่มใจไว้ได้ ว่าอย่าดีกว่า แล้วก็ตัดใจลุกจากโต๊ะไปทันที”
หลังจากเลิกงานก็ให้เพื่อนๆ ภายในร้านนำหลักฐานกล้องวงจรปิดตอนที่เกิดเหตุการณ์เอาไปแจ้งความต่อตำรวจ เพื่อจะให้ดำเนินคดีลูกค้ารายนี้ให้ถึงที่สุด แต่ปรากฏว่าตำรวจกลับให้ไปหาหลักฐานมาเพิ่มว่าลูกค้ารายนี้เป็นใคร อยู่ที่ไหน ซึ่งก็พามึนซ้ำ มืดแปดด้านเข้าไปอีก เพราะถึงแม้จะเคยรู้จักพูดคุยกับลูกค้ารายนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครอยู่ที่ไหน เพราะที่ผ่านมาก็มักจะเจอเขาแค่ตามร้านอาหารต่างๆ ที่ไปทำงานเท่านั้น ไม่เคยมีเบอร์พูดคุยติดต่อกันเลย
“ก็ประมาณว่าหนูมาทำงาน แล้วเขาก็มาสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อน คอยช่วยอุดหนุนสินค้าหนูๆ เราก็คอยเอนเตอร์เทนเอาใจเพื่อสร้างความครึกครึ้นให้กับกลุ่มของเขาที่ช่วยอุดหนุน ก็แค่นั้น”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างที่พูดคุยสอบถามกับ น.ส.สุสิตา ปรากฏว่า มีเสียงโทรศัพท์ของเจ้าตัวดังขึ้นมา น.ส.สุสิตาจึงรับสาย ก็ทราบว่าปลายสายเป็นตำรวจเจ้าของคดี โทรศัพท์มาหา นัดให้เจ้าตัวไปที่เกิดเหตุเพื่อตรวจสอบหาพยานหลักฐาน
และระหว่างการพูดคุย ทางตำรวจได้มีการสอบถามกรณีที่มีการนำข้อความไปโพสต์บนเฟซบุ๊กให้ไปหาหลักฐานเอาเองนั้น มันไม่เป็นคาวมจริงตามข้อความ พร้อมยืนยันว่าเขาบอกว่าให้ น.ส.สุสิตาไปหาหลักฐานมาเพิ่มเติมเพื่อประกอบสำนวนในการเตรียมเอาผิดคู่กรณีได้เลย ซึ่ง น.ส.สุสิตา ก็ทำหน้าแบบงุนงง แต่ก็ตอบกลับไปว่าค่ะ ค่ะ ค่ะ ตลอดจนวางสาย
ด้านนางแสงรุ้ง อายุ 43 ปี มารดาของ น.ส.สุสิตา ยอมรับว่าตอนนั้นกลัวลูกสาวจะไม่ได้รับความเป็นธรรม และกลัวคู่กรณีจะมาเอาเรื่องทำร้ายลูกสาวอีก จึงได้นำคลิปภาพกล้องวงจรปิด พร้อมกับบรรยายเรื่องราวที่เกิดขึ้นตามที่ลูกสาวเล่า เอาไปโพสต์ไว้ในเพจเฟซบุ๊กกลุ่มสาธารณะ เพื่อต้องการให้สังคมรับรู้ว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น หากลูกสาวเกิดเป็นอะไรไปอีก อย่างน้อยก็มีคนในโซเชียลฯ สนใจ คอยเป็นแรงผลักดันในการช่วยลูกสาวได้
“ตอนที่รู้ว่าลูกโดนลูกค้าทำร้ายก็รู้สึกโมโหแทน อยากจะเจอมือตบมาก แต่ตอนนี้รู้สึกห่วงความปลอดภัยในตัวลูกมากกว่า และที่นำเรื่องราวไปโพสต์ ก็หวังต้องการที่จะมีใครสักคนที่กล้าชนกล้าต่อกรมาช่วยเอาผิดคู่กรณี ที่เขาประกาศศักดาว่าข้านี่ยิ่งใหญ่นักหนา เพื่อคืนความเป็นธรรมให้ลูกสาว”
ทั้งนี้ ในส่วนของตำรวจ มีรายงานด้วยว่าเจ้าหน้าที่พอจะทราบเบื้องต้นแล้วว่าคู่กรณีที่ก่อเหตุตบ น.ส.สุสิตา จนปากแตกเป็นอดีตทหารที่เกษียณอายุราชการ วัย 63 ปี ซึ่งตอนนี้กำลังอยู่ในระหว่างรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติมในการเอาผิดต่อไป