พิษณุโลก - พายุหอบฝุ่นกระจาย เก้าอี้หน้าเวทีปราศรัยปลิวว่อน ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 เมืองสองแคว-ว่าที่ ร้อยตรี อิทธิพล บุบผะศิริ ขึ้นเวทีแค่ 10 นาทีต้องยุติไปเปิดเวทีจุดอื่นแทน บ่นลมแรง ยังไม่ทันแจงนโยบายภูมิใจไทยต้องปิดเวทีก่อน แต่เชื่อชาวบ้านจำเบอร์ 3 ได้แล้ว
หนึ่งในคลิปภาพเวทีปราศรัยหาเสียงของผู้สมัคร ส.ส.ที่กำลังได้รับความสนใจจากคนในโซเชียลฯ เป็นคลิปเวทีปราศรัยของ ว่าที่ ร้อยตรี อิทธิพล บุบผะศิริ ผู้สมัครพรรคภูมิใจไทยเขต 2 จังหวัดพิษณุโลก ระหว่างขึ้นเวทีปราศัยบริเวณสนามโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ต.หัวรอ อ.เมือง จ.พิษณุโลก เมื่อเย็นวันที่ 23 เม.ย. 66 ที่ผ่านมา
ในคลิปจะได้ยินเสียง..เบอร์อะไรๆๆๆๆ เบอร์ 3 ๆๆ ซึ่งมีคนคอมเมนต์หลายคนระบุในคลิปว่า เป็นเสียงอดีตนายอำเภอ ปัจจุบัน คือผู้สมัครพรรคภูมิใจไทย เขต 2 พิษณุโลก ตะโกนลั่น ให้มวลชนเร่งตอบ และให้จำเบอร์ 3 ให้ได้ เนื่องจากต้องรีบปิดฉากเวทีปราศรัยหาเสียงเลือกตั้ง
ทั้งที่ตัวผู้สมัครขึ้นเวทีพูดเพียง 10 นาที แต่ชาวบ้านที่มาร่วมเวทีพากันแตกตื่น เพราะพายุฤดูร้อนพัดฝุ่นอย่างแรง หลายคนลุกจากเก้าอี้หน้าเวทีปราศรัยอย่างโกลาหล ฉวยจังหวะรีบกลับไปดูบ้านเรือนตัวเองดีกว่ารอฟังปราศรัย
ทว่า คนที่ออกอาการซึมๆ ไม่กี่คนน่าจะเป็น ว่าที่ ร.ต.อิทธิพล บุบผะศิริ ผู้สมัครพรรคภูมิใจไทยเขต 2 กับพันโท จักรกริช บุบผะศิริ ข้าราชการบำนาญ พี่ชายฝาแฝด ซึ่งแต่งกายเหมือนกันขึ้นเวทีหาเสียง ขึ้นเวทีพูดยังไม่ทันจบต้องยุติกลางคัน
ว่าที่ ร้อยตรี อิทธิพล บุบผะศิริ ผู้สมัครเบอร์ 3 พรรคภูมิใจไทยเขต 2 จังหวัดพิษณุโลก เปิดเผยว่า เสียดายลมพายุฤดูร้อนหอบฝุ่นมาบริเวณที่จุดปราศรัยทำให้ชาวบ้านแตกตื่น จึงต้องปิดการปราศรัยทันทีแบบไม่ต้องเปิดเวทีซ้ำที่เดิมอีก ต้องไปลุยเปิดเวทีข้างหน้าต่อไป
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าชาวบ้านจำเบอร์ 3 ได้แล้ว ขาดไปแต่เพียงตนไม่ได้พูดนโยบายพรรคภูมิใจไทยอีกมาก เช่น เงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ, การลดรายจ่ายเพื่อเพิ่มรายได้ด้วยการติดตั้งแผงโซลาเซลล์, เครื่องฟอกไตและรักษาโรคมะเร็งฟรี ฯลฯ
และอยากบอกชาวบ้านว่า ตนที่ลงสมัคร ส.ส.ครั้งนี้ก็เพราะอยากเห็นความเป็นอยู่ของชาวบ้านดีขึ้น อยากเห็น อ.พรหมพิราม ควรพัฒนาได้ดีกว่านี้ ไม่ควรถูกทอดทิ้ง ระบบชลประทานต้องดี เนื่องจากชาวบ้านส่วนใหญ่ทำนา หากได้เป็นผู้แทนจะทำทันทีไม่มีสร้างภาพ พูดแล้วทำ
อนึ่ง ว่าที่ ร้อยตรี อิทธิพล บุบผะศิริ ผู้สมัครเขต 2 ภูมิใจไทย ถือว่ามาจากครอบครัวยากจน ดิ้นรนไปเรียนที่กรุงเทพฯ โดยกินนอนอยู่ที่วัด เรียนจบปริญญาตรีในสายกฎหมาย เป็นปลัดอำเภอและนายอำเภออยู่หลายแห่ง เช่น อ.พรหมพิราม และอ.พิษณุโลก กระทั่งเกษียณอายุราชการ นั่งเป็นรองนายก อบจ.พิษณุโลก ก่อนลงการเมืองสนามใหญ่ คาดว่าเข้าใจปัญหาของชาวบ้านได้ดี