เชียงใหม่ - ชาวบ้านเชียงใหม่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเฟสใหม่เฮลั่นเงิน 300 บาทโอนเข้าบัญชีนำไปใช้จ่ายแบ่งเบาภาระแล้ว หลังตอนแรกไม่สามารถลงทะเบียนรับสิทธิได้เพราะติดขัดระเบียบเงื่อนไขใหม่ จนต้องร้องขอความช่วยเหลือจาก “ปลัดจอมแฉ” บุกยื่นหนังสือถึงทำเนียบรัฐบาล จน “ลุงตู่” นายกรัฐมนตรี รับทราบปัญหาความเดือดร้อน และสั่งการแก้ไขทันที
วันนี้ (5 เม.ย. 66) ที่ศูนย์บริหารการทะเบียนภาค 5 สาขาจังหวัดเชียงใหม่ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ นายสุพัฒน์ อาษากิจ สมาชิกสภาเทศบาลตำบลสันทรายหลวง อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ พานางอำพร ปัญญาไวย์ อายุ 56 ปี ชาวตำบลสันทรายน้อย อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ เข้าพบนายบุญญฤทธิ์ นิปวณิชย์ หัวหน้าศูนย์บริหารการทะเบียนภาค 5 สาขาจังหวัดเชียงใหม่ ในฐานะประธานสหพันธ์ปลัดอำเภอแห่งประเทศไทย (ส.ปอ.ท.) ทั้งนี้เพื่อแสดงความขอบคุณนายบุญญฤทธิ์ที่ได้ให้ความช่วยเหลือนางอำพร จนทำให้สามารถลงทะเบียนโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 ได้ และรับสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จากที่ตอนแรกไม่สามารถลงทะเบียนได้
โดยสืบเนื่องจากเมื่อช่วงเดือน ก.ย. 65 นางอำพรได้เข้าร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือจากนายบุญญฤทธิ์ครั้งที่ปฏิบัติหน้าที่ปลัดอำเภอสันทราย ว่าประสบปัญหาไม่สามารถลงทะเบียนรับสิทธิโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 ได้ ทั้งที่โครงการฯ ครั้งก่อนสามารถใช้สิทธิได้ เนื่องจากมีการกำหนดระเบียบคุณสมบัติเพิ่มเติมว่า กรณีจดทะเบียนสมรส ต้องให้คู่สมรสลงชื่อรับรองด้วย โดยกรณีของนางอำพรนั้นจดทะเบียนสมรสและยังไม่ได้จดทะเบียนหย่า แต่สามีทอดทิ้งหายตัวออกจากบ้านไปนานกว่า 20 ปีแล้ว จึงไม่สามารถติดตามตัวมาลงชื่อรับรองได้และทำให้ไม่ผ่านคุณสมบัติ
ทั้งนี้ นายบุญญฤทธิ์ซึ่งรับเรื่องแล้วพิจารณาว่าการกำหนดระเบียบคุณสมบัติดังกล่าวเป็นการทำให้ประชาชนเสียโอกาสและเสียสิทธิอย่างที่ไม่ควรจะเป็น รวมทั้งเชื่อว่าน่าจะต้องมีประชาชนทั่วประเทศที่มีสิทธิแต่ต้องประสบปัญหาเช่นเดียวกันนี้จำนวนมาก จึงได้เข้ายื่นหนังสือให้พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 66 เพื่อให้รับทราบปัญหาความเดือดร้อนและขอให้พิจารณาแก้ไขระเบียบคุณสมบัติของผู้ลงทะเบียนโครงการดังกล่าว ซึ่งปรากฏว่ามีการพิจารณาแก้ไขและทำให้ประชาชนได้รับสิทธิโครงการดังกล่าว
นางอำพร ปัญญาไวย์ อายุ 56 ปี ชาวตำบลสันทรายน้อย เปิดเผยว่า ช่วงปลายปี 2565 ไม่สามารถลงทะเบียนรับสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบล่าสุดได้ ทั้งที่ครั้งก่อนสามารถลงทะเบียนได้ เนื่องจากพบว่ามีการกำหนดคุณสมบัติและเงื่อนไขเพิ่มเติมให้คู่สมรสที่จดทะเบียนต้องลงชื่อรับรองให้ด้วย แต่สามีของตัวเองที่จดทะเบียนสมรสกันนั้นได้หายตัวออกจากบ้านไปนานกว่า 20 ปีแล้ว และไม่สามารถติดต่อได้ ทำให้ไม่สามารถตามตัวมาลงชื่อรับรองเพื่อลงทะเบียนรับสิทธิได้ จึงได้เข้าร้องขอความช่วยเหลือจากนายบุญญฤทธิ์ ที่ช่วยเป็นปากเป็นเสียงให้ถึงนายกรัฐมนตรีจนกระทั่งมีการแก้ไขปัญหาและทำให้ตัวเองได้รับสิทธิแล้ว
สำหรับเงินจำนวน 300 บาทในแต่ละเดือนที่ได้รับจากโครงการดังกล่าวนั้น นางอำพรบอกว่า แม้ว่าจะเป็นเงินจำนวนไม่มากนัก แต่สำหรับตัวเองที่มีรายได้จากลูกชายส่งเสียให้เดือนละ 3,000 บาทและต้องดูแลหลานเพียงลำพังแล้ว เงินจำนวนนี้ถือว่ามีค่าอย่างมากในการนำมาใช้จ่ายซื้อสิ่งของที่จำเป็นในการใช้ชีวิตประจำวันเพื่อช่วยเหลือจุนเจือแบ่งเบาภาระของครอบครัว ซึ่งรู้สึกดีใจมากที่ได้รับสิทธิ และต้องขอบคุณนายบุญญฤทธิ์อย่างมากที่ให้การช่วยเหลือ รวมทั้งขอบคุณพลเอก ประยุทธ์ ที่รับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและแก้ไขปัญหาให้อย่างรวดเร็ว
ขณะที่นายสุพัฒน์ อาษากิจ สมาชิกสภาเทศบาลตำบลสันทรายหลวง เปิดเผยว่า รับทราบปัญหาที่เกิดขึ้นของนางอำพร ระหว่างลงพื้นที่ปฏิบัติหน้าที่ และเห็นว่าเป็นกรณีตัวอย่างที่ประชาชนไม่ควรเสียสิทธิเพราะเงื่อนไขเช่นนี้ จึงพาเข้าพบนายบุญญฤทธิ์เพื่อปรึกษาและขอความช่วยเหลือ เมื่อช่วงเดือน ก.ย. 65 ซึ่งนายบุญญฤทธิ์ได้เข้ายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี จนกระทั่งปัญหาได้รับการแก้ไขในที่สุด โดยรู้สึกขอบคุณที่รับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและแก้ไขปัญหาให้อย่างรวดเร็ว ทำให้ประชาชนจำนวนมากทั่วประเทศได้รับประโยชน์
ด้านนายบุญญฤทธิ์เปิดเผยว่า เมื่อรับทราบเรื่องราวปัญหาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นดังกล่าว ต่อมาได้เข้ายื่นหนังสือให้นายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล ผ่านทางศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้รับทราบถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนผู้ลงทะเบียนโครงการเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 ซึ่งหลังจากยื่นหนังสือได้ไม่นาน ปรากฏว่านายกรัฐมนตรีและผู้เกี่ยวข้องได้สั่งการให้แก้ไขระเบียบขั้นตอนต่างๆ ทำให้ประชาชนที่ก่อนหน้านี้ประสบปัญหาสามารถลงทะเบียนรับสิทธิได้ ถือว่าเป็นคุณประโยชน์อย่างยิ่งต่อประชาชนผู้มีรายได้น้อยหลายหมื่นคนทั่วประเทศที่สมควรได้รับสิทธิดังกล่าว
