เชียงราย - ทางการเมียนมาคุมตัว “อาผ่า” พ่อค้ายาตัวเป้งค่าหัวหลักล้าน ส่งทางการไทย หลังหนีคดีจับยาคาด่านห้วยไร่ปี 59 ซุกพม่า-เปิดบาร์ท่าขี้เหล็ก ผบช.ภ.5 เผยยังเหลือผู้ต้องหาหนีข้ามแดน รอเมียนมาจับกุมส่งอีก 53 ราย
วันนี้ (9 มี.ค. 66) พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5 พร้อมด้วย พล.ต.ต.ดุลเดชา อาชวะสมิตระกูล ผบก.ภ.จว.เชียงราย พล.ต.ต.ณัฐวุฒิ ภาคภูมิ ผบก.ภ.จว.แพร่ พ.ต.ต.อนัญวัฒน์ รัตนวิชัย ผบ.ร้อย.ตชด.327 เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) จ.เชียงราย ทหารกองกำลังผาเมือง ฯลฯ ได้นำเจ้าหน้าที่เดินทางไปที่จุดผ่านแดนถาวรสะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 2 ไทย-เมียนมา อ.แม่สาย จ.เชียงราย
เพื่อรับตัวนายเจษฎา (สงวนนามสกุล) ชาว อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญที่หลบหนีหมายจับไปอยู่ฝั่งเมียนมา กระทั่งทางการเมียนมาจับกุมดำเนินคดีตามขั้นตอน ก่อนที่หัวหน้าตำรวจท่าขี้เหล็ก หัวหน้าหน่วย ปส.ท่าขี้เหล็ก และ ตม.ท่าขี้เหล็ก จะควบคุมตัวส่งมอบแก่ทางการไทย
ทั้งนี้ นายเจษฎาถูกออกหมายจับ และ ป.ป.ส.ประกาศเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาเป้าหมายในปี 2565 จากผู้ต้องหารายสำคัญทั้งหมด 23 เป้าหมาย วงเงินรางวัลรวม 43,900,000 บาท หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำด่านตรวจยาเสพติดห้วยไร่ สภ.ห้วยไร่ อ.เด่นชัย จ.แพร่ ได้จับกุมผู้ต้องหาได้ 3 คน พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 60,000 เม็ด ซุกซ่อนมากับรถยนต์เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2559
ซึ่งจากการสอบสวนขยายผลทำให้เจ้าหน้าที่เชื่อว่านายเจษฎาเป็นผู้ว่าจ้าง จึงได้ขออมุัติออกหมายจับศาลอาญาที่ จ.177/2559 ลงวันที่ 22 ก.ค. 2559 แต่ขณะออกติดตามเพื่อจับกุม นายเจษฎาได้หลบหนีไปอยู่ที่ จ.ท่าขี้เหล็ก ลงทุนเปิดสถานบันเทิง "ไฟท์ บาร์" ที่เมืองมะก๋าหัวคำ จ.ท่าขี้เหล็ก และพักที่โรงแรมหรูชื่อ 1G1 ติดกับลำน้ำสาย โดยมีชื่อรู้จักกันในวงการว่า "อาผ่า"
กระทั่ง ป.ป.ส.ไทย ได้ประสานกับ ป.ป.ส.เมียนมา ทำให้นายเจษฎาถูกจับกุมตัวขณะพักอยู่ในโรงแรม แต่เนื่องจากต้องคดีข้อหาหลบหนีเข้าเมืองทำให้ถูกจำคุกที่ จ.เชียงตุง และต้องรอให้พ้นโทษเดิมก่อนพาตัวไปส่งที่ชายแดนด้าน จ.ท่าขี้เหล็ก ขณะที่วงเงินรางวัลนำจับนายเจษฎาโดย ป.ป.ส.นั้นได้ลดลงจากเดิม 2 ล้านบาทเป็น 1 ล้านบาท
สำหรับเครือข่ายยาเสพติดในคดีนี้เจ้าหน้าที่สืบทราบว่าเป็นเครือข่ายบ้านผาขาว ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของกลุ่มมูเซอในฝั่ง จ.ท่าขี้เหล็ก ตั้งอยู่ตรงข้าม อ.แม่ฟ้าหลวง
พล.ต.ท.ปิยะกล่าวว่า การส่งมอบผู้ต้องหาในครั้งนี้ประสบความสำเร็จได้เนื่องจากการประชุมทวิภาคีร่วมระหว่างไทย-เมียนมา และตามข้อมูลของ ภ.5 ยังพบว่ามีผู้ต้องหาตามหมายจับที่คาดว่าน่าจะหลบหนีอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านอยู่อีกประมาณ 53 ราย ซึ่งก็กำลังอยู่ระหว่างการประสานงานเพื่อการติดตามจับกุมตัวเหมือนรายนี้ คาดว่าน่าจะมีการทยอยส่งตัวมาดำเนินคดีในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องต่อไป