จันทบุรี - นายกฯ ห่วงใยประชาชน กำชับกรมโยธาธิการและผังเมือง บูรณาการร่วมกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง หาแนวทางป้องกันตลิ่งริมทะเล รวมทั้งแก้ปัญหาการกัดเซาะพื้นที่ทำกินใน ต.เกาะเปริด จ.จันทบุรี
วันนี้ (22 ก.พ.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะ ลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดจันทบุรี ติดตามการปฏิบัติราชการตามนโยบายรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน โดยมี นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง (ยผ.) กระทรวงมหาดไทย รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการเขื่อนป้องกันตลิ่งริมทะเล พร้อมปรับปรุงภูมิทัศน์พื้นที่ชายฝั่งทะเลบริเวณองค์การบริหารส่วนตำบลเกาะเปริด อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี ภายใต้โครงการศึกษาเพื่อกำหนดแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง
นอกจากนั้น ยังได้เดินหน้าบูรณาการความร่วมมือกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หาแนวทางคัดเลือกรูปแบบในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่อย่างเหมาะสม เพื่อแก้ไขปัญหาการกัดเซาะพื้นที่ทำกินของพี่น้องประชาชน
โดยมี นายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี กล่าวต้อนรับ และนายพงษ์นรา เย็นยิ่ง รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายพรรณรบ เตชะมงคลาภิวัฒน์ ผู้ตรวจราชการกรม นายสุวรรณ เจริญพร โยธาธิการและผังเมืองจังหวัดจันทบุรี หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และประชาชนในพื้นที่ให้การต้อนรับ ณ วัดเขาตาหน่วย ต.เกาะเปริด อ.แหลมสิงห์
ขณะที่ นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง เปิดเผยว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาชายฝั่งทะเลทั้งระบบ โดยกำหนดนโยบายการจัดการชายฝั่งแบบบูรณาการอย่างเป็นองค์รวม เพื่อวางรูปแบบการจัดการที่เหมาะสมกับศักยภาพสภาพปัญหาและการใช้ประโยชน์ที่ดินในแต่ละพื้นที่
ทั้งนี้ กรมโยธาธิการและผังเมืองได้รับมอบหมายให้ศึกษาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง พร้อมเริ่มก่อสร้างเขื่อนป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเลมาตั้งแต่ปี 2533 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชุมชนริมชายฝั่ง ป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและหน่วยงานราชการในช่วงมรสุมที่มีคลื่นลมแรง ถึงแม้ว่าหลังมรสุมตะกอนทรายอาจกลับมา แต่บ้านเรือนของประชาชน ที่ดินทำกิน เส้นทางสัญจรพังเสียหายไม่อาจกลับมาเหมือนเดิมได้ ต้องใช้งบประมาณในการซ่อมแซมบำรุงรักษาทุกปี กรมฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้ร่วมกันพิจารณาเลือกวิธีการแก้ไขปัญหาที่เหมาะกับสภาพพื้นที่
สำหรับพื้นที่ชายฝั่งทะเลบริเวณองค์การบริหารส่วนตำบลเกาะเปริด อ.แหลมสิงห์ ผลการศึกษาพบว่ามีอัตราการกัดเซาะชายฝั่งเฉลี่ย 2.46 เมตรต่อปี ผลวิเคราะห์ความเปราะบางต่อการกัดเซาะชายฝั่ง (CEVI) มีความเปราะบางในระดับสูง และจากการสำรวจพื้นที่ในช่วงระหว่างปี 2564-2565 พบว่าชายฝั่งบริเวณนี้ประสบปัญหาการกัดเซาะคันบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยมีโครงสร้างคันบ่อหลายแห่งเสียหาย และยังพบแนวปักไม้ไผ่ชะลอคลื่นมีสภาพชำรุดเสียหาย
โดยประชาชนเจ้าของที่ดิน ที่อยู่อาศัย รีสอร์ต และร้านอาหารบริเวณพื้นที่ชายฝั่งบางส่วนได้มีความพยายามในการดำเนินการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งด้วยการทิ้งหินกันคลื่นในที่ดินตนเอง อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถปกป้องชายฝั่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อีกทั้งชายฝั่งถัดเข้ามาจะเป็นแนวถนนเฉลิมบูรพาชลทิต หรือทางหลวงชนบทสาย รย.4036 ซึ่งใช้เป็นเส้นทางสัญจรของประชาชนในพื้นที่และของนักท่องเที่ยว หากแนวป้องกันของภาคเอกชนที่ยังมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอได้เกิดพังทลายเสียหายลง อาจจะส่งผลให้ปัญหาการกัดเซาะรุกคืบเข้ามาแนวถนนได้
อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง กล่าวเพิ่มเติมว่า จากปัญหาดังกล่าวกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลในประเทศไทย ได้บูรณาการความร่วมมือกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล
โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองได้ดำเนินโครงการเขื่อนป้องกันตลิ่งริมทะเล พร้อมปรับปรุงภูมิทัศน์พื้นที่ชายฝั่งทะเล บริเวณองค์การบริหารส่วนตำบลเกาะเปริด อ.แหลมสิงห์ ภายใต้โครงการศึกษาเพื่อกำหนดแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งเป็นทั้งที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทำกินของประชาชน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ตำบลเกาะเปริด ด้วยการศึกษา สำรวจและออกแบบ พร้อมทั้งจัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นต่อโครงการ ภายใต้การมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในพื้นที่
รวมทั้งได้บูรณาการความร่วมมือกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ร่วมกันคิด ร่วมกำหนดพื้นที่ ร่วมเสนอแนวทาง และร่วมคัดเลือกรูปแบบการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม โดยได้กำหนดแนวทางและรูปแบบในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่ร่วมกัน ด้วยการผสมผสานระหว่างรูปแบบโครงสร้างแข็งทางวิศวกรรมและการปักไม้ไผ่ชะลอคลื่น เพื่อให้สอดคล้องกับศักยภาพและการใช้ประโยชน์เชิงพื้นที่ บนพื้นฐานการสร้างความสมดุลของทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล พร้อมกับการพัฒนาชุมชนและยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน
พร้อมกันนี้ กรมฯ จะเสนอโครงการต่อ “คณะทำงานเพื่อพิจารณากลั่นกรองและให้ข้อเสนอแนะ ข้อคิดเห็นต่อโครงการ มาตรการ ระเบียบ หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติสำหรับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในภาพรวมและเชิงพื้นที่” ภายใต้ พ.ร.บ.ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ.2558 ซึ่งจะมีคณะกรรมการที่มาจากนักวิชาการ ภาคประชาชน NGO และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาโครงการต่อไป
อย่างไรก็ตาม โครงการศึกษาและก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมทะเล เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ของกรมโยธาธิการและผังเมืองจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล ตามปณิธาน “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ของกระทรวงมหาดไทย และยังต่อยอดเรื่องการเสริมสร้างทัศนียภาพของชายหาดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความสวยงาม
รวมถึงเพิ่มศักยภาพให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์พื้นที่ชายฝั่งทะเลได้อย่างเท่าเทียม ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมในภาพรวมของประเทศ