ศูนย์ข่าวศรีราชา - เปิดมุมมองการเมืองชลบุรีผ่านสายตา “อ.นพพร ขุนคล้า” เมื่อบ้านใหม่ (เสี่ยเฮ้ง) เทหมดหน้าตักประกาศชนบ้านใหญ่ (คุณปลื้ม) บอกเลยมันสุดในภาคตะวันออก ซ้ำยังได้ชี้ชะตาเลือกตั้งท้องถิ่นที่กำลังจะเกิดขึ้น
พลันที่ปี่กลองการเมืองเริ่มเปิดฉากขึ้น นักการเมือง และพรรคการเมืองถูกจับตาทันทีเพราะรอยต่อการเมืองไทยช่วงปี 2565 ต่อปี 2566 นี้ไม่ธรรมดาจากข่าวคราวการย้ายพรรคของนักการเมืองมีให้เห็น 2 ตา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครคาดคิดว่า คนละพรรค คนละขั้ว คนละอุดมการณ์ทางการเมืองใครจะมารวมกันได้ แต่เราก็ได้เห็นแล้ว
สนามการเมืองภาคตะวันออกอย่างจังหวัดชลบุรี น่าจับตาไม่น้อย หลังการเลือกตั้งใหญ่ในเดือนมีนาคม 2562 ซึ่งในครั้งนั้นจังหวัดชลบุรีมี 8 เขตเลือกตั้ง และพรรคพลังประชารัฐ กวาดไปได้ 5 เขต ส่วนพรรคอนาคตใหม่ กวาดมาได้ 3 เขต ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือ พรรคการเมืองน้องใหม่ของคนรุ่นใหม่ส่งคนเบียดเข้าสนามนี้ได้ในครั้งแรก ถือว่าไม่ธรรมดา
ทำให้การเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2566 นี้ ทั้งบ้านใหม่ และบ้านใหญ่ต้องทำงานหนักอย่างแน่นอน
โดย ผศ.นพพร ขุนค้า ประธานสภาคณาจารย์และข้าราชการ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ จ.ฉะเชิงเทรา นักวิเคราะห์การเมืองชื่อดังภาคตะวันออก ให้มุมมองว่าการเลือกตั้งในพื้นที่ภาคตะวันออกปีนี้ จ.ชลบุรี เป็นพื้นที่ที่น่าจับตามากสุดเพราะเป็นการพบกันระหว่างบ้านใหม่ (เสี่ยเฮ้ง) กับบ้านใหญ่ (คุณปลื้ม) และบ้านของคนรุ่นใหม่
แถมชลบุรียังเป็นพื้นที่ที่พรรคการเมืองหลายพรรคต้องการจะปักธงในพื้นที่แห่งนี้ด้วย และศึกแห่งศักดิ์ศรีระหว่าง “บ้านใหม่และบ้านใหญ่” ยังสามารถบ่งบอกได้ถึงการเลือกตั้งท้องถิ่นที่กำลังจะเกิดขึ้น
แต่ที่ชิมลางไปก่อนคือ การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเกาะสีชัง ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมา ที่เป็นการเปิดหน้าสู้กันอย่างเห็นได้ชัดระหว่าง “บ้านใหม่และบ้านใหญ่” ที่ต่างส่งคนของตัวเองลงชิงชัยด้วย
ผลปรากฏออกมาว่า นายสรศักดิ์ เภตรา หรือ "แจ็ค" ลูกชายอดีตนายกฯ ดำรง เภตรา ขวัญใจชาวเกาะสีชังผู้ล่วงลับ ที่กลุ่ม “บ้านใหม่” ส่งลงชิงชัยมีคะแนนเป็นอันดับ 1 ได้ 1,604 คะแนน นำนายสาธิต ประทีปสุขปกรณ์ ตัวแทน “บ้านใหญ่” ที่ได้ 1,383 คะแนน และยังเป็นคะแนนที่ นายสรศักดิ์ เภตรา "แจ็ค" ชนะทั้ง 7 หน่วยเลือกตั้งอีกด้วย
ผศ.นพพร มองว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้กลุ่ม “บ้านใหม่” ภายใต้การนำของ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น แห่งพรรคพลังประชารัฐ ที่ได้ย้ายไปรวมกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นสมาชิกพรรค คือหัวใจของพรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะ จ.ชลบุรี แบ่งพื้นที่เขตเลือกตั้งใหม่เพิ่มอีก 2 เขต จากเดิม 8 เขตเป็น 10 เขต
และหาก “เสี่ยเฮ้ง” ยึดพื้นที่เดิมทั้ง 10 เขตไว้ไม่ได้ นั่นหมายถึงพื้นที่อื่นของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่หมายมั่นจะปักธงเช่นเดียวกับที่ จ.ชลบุรี ก็มีความหวังริบหรี่
ส่วนบ้านใหญ่ ภายใต้การนำของ สนธยา คุณปลื้ม มาแบบเสียไม่ได้ต้องสู้สุดตัว เพราะนั่นหมายถึงอนาคตทางการเมืองท้องถิ่นของกลุ่มคุณปลื้ม และเมื่อนายสนธยา เปิดตัวกับพรรคเพื่อไทย เพื่อเป็นแม่ทัพเมืองชลแล้ว การประกาศจัดวางคนลงว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ทั้ง 10 เขต ยังถือเป็นโอกาสที่ได้เปรียบอยู่เนื่องจากว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.แต่ละชื่อล้วนมีประสบการณ์คลุกคลีทางการเมืองสนามใหญ่ และสนามเล็กมาทั้งสิ้น
ไม่เพียงเท่านั้น คนในตระกูลบ้านใหญ่ยังมีดีกรีเป็นถึงนักการเมืองระดับชาติและระดับท้องถิ่น จึงมีฐานเสียงและเครือข่ายที่เป็นการเมืองท้องถิ่นเพียบเช่นกัน
ว่ากันว่าศึกระหว่างบ้านใหญ่และบ้านใหม่ ในครั้งนี้หากใครแพ้อาจจะไม่มีพื้นที่ทางการเมืองให้ได้ทำกิจกรรมอีกต่อไปได้ เพราะนั่นคืออนาคตการเมืองที่อาจจะพลิกขั้วเก่า หรือฝังขั้วใหม่ แบบไม่ได้เกิดกันไปข้างด้วยเช่นกัน
“หากจะให้ประเมิน 10 เขตเลือกตั้งชลบุรีในครั้งนี้บอกได้เลยว่า มีแน่ๆ อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง นั่นคือ 5 เขต ที่เพื่อไทยจะได้ เพราะกระแสของพรรคเพื่อไทยได้เปรียบ อีกทั้ง “สนธยา คุณปลื้ม” แม่ทัพหลักชลบุรีได้วางตัวผู้สมัครทั้ง 10 เขตชนกับบ้านใหม่แบบไม่มีกลัว เพื่อครองให้ได้ทั้ง 10 เขต ยิ่งทำให้ “บ้านใหม่” ชมกลิ่น ต้องสู้ทุกทาง ซึ่ง 5 เขตเลือกที่เหลือพรรครวมไทยสร้างชาติ อาจจะหืดขึ้นคอได้เพราะตัวสอดแทรกอย่างพรรคก้าวไกล และพลังประชารัฐ ของกลุ่มเนื่องจำนง ก็ยังมีบทบาทสำคัญอยู่ เพียงแต่ว่าจะได้พรรคละกี่เขตเท่านั้น”
ผศ.นพพร ยังประเมินอีกว่า เขตเลือกตั้งใน จ.ชลบุรี ที่มี 10 เขต พรรคเพื่อไทยที่จะกวาดไปได้ 5 ที่นั่ง หากพรรคก้าวไกลยังรักษาไว้ได้อีก 3 เขต ซึ่งนั่นหมายความว่าจะเหลือเพียงแค่ 2 เขตเลือกตั้งให้กลุ่ม “บ้านใหญ่” ยังพอมีลุ้น แต่ทั้งนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ในการเลือกตั้ง 2566
“จุดเปลี่ยนสำคัญของการเมืองชลบุรี คือ กระสุน ซึ่งอยู่เหนือความคาดหมายของการประเมิน เพราะหากเอาเข้าจริงแล้วเมื่อถึงเวลานั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนได้หมด” ผศ.นพพร กล่าว
สำคัญสุดคือคนไทยได้เรียนรู้การเมืองที่ผ่านมาแล้ว เพราะการเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร การเมืองที่ผ่านมาคงให้คำตอบได้ดีกับคนไทย เลือกตั้งครั้งนี้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งหน้าใหม่เพิ่มมากขึ้น และนี่อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนอีกครั้งกับอนาคตประเทศไทยในสนามการเมืองให้มุมมองว่า การเลือกตั้งในพื้นที่ภาคตะวันออกปีนี้ จ.ชลบุรี เป็นพื้นที่ที่น่าจับตามากสุด