เชียงใหม่ - ฉาวอีกแล้ว! ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินผลงานวิชาการเปิดโปงซ้ำ พบอาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ทำการคัดลอกวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกนำมาใช้เป็นผลงานขอตำแหน่งทางวิชาการ ชี้ผิดจริยธรรมและจรรยาบรรณทางวิชาการร้ายแรงไม่ต่างจากการยัดเงินซื้องานวิจัยแล้วสวมชื่อแอบอ้างเป็นผลงานตัวเอง แต่ทางมหาวิทยาลัยกลับอนุมัติให้ผ่านเกณฑ์ประเมินอย่างหน้าตาเฉยตั้งแต่ปี 61 ทั้งที่มีการโต้แย้งแล้ว จี้ มช.ทบทวนตัวเองป้องกันเกิดเรื่องซ้ำซากทำลายชื่อเสียงและศักดิ์ศรีสถาบัน
จากกรณีที่นักวิชาการหลายรายออกมาเปิดเผยว่ามีนักวิชาการจำนวนหนึ่งในประเทศไทยที่ไม่ได้ทำงานวิจัยด้วยตัวเอง แต่ใช้วิธีการจ่ายเงินซื้อผลงานวิจัยที่ผู้อื่นทำไว้ แลกกับการใส่ชื่อตัวเองเป็นเจ้าของงานวิจัยดังกล่าวในการตีพิมพ์ลงในวารสารทางวิชาการ แล้วแอบอ้างเป็นผลงานทางวิชาการของตัวเองเพื่อแสวงหาประโยชน์ต่างๆ เช่น นำไปใช้ขอทุนวิจัย หรือขอตำแหน่งทางวิชาการ เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ต่างไปจากการทุจริตคอร์รัปชัน โดยจากข้อมูลดังกล่าวมีการระบุด้วยว่าพบบุคลากรของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นหนึ่งในผู้ที่มีพฤติการณ์ซื้องานวิจัย ซึ่งเบื้องต้นทางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวที่ถือว่าเป็นการกระทำผิดจริยธรรมและจรรยาบรรณทางวิชาการแล้วนั้น
วันนี้ (11 ม.ค. 66) รายงานข่าวแจ้งว่า นอกจากกรณีการซื้องานวิจัยของนักวิชาการหรืออาจารย์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่แล้ว พบว่าช่วงที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ยังมีกรณีที่อาจารย์รายหนึ่งของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ทำการคัดลอกผลงานวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกนำมาใช้เป็นผลงานวิชาการนำเสนอให้คณะกรรมการพิจารณาตำแหน่งทางวิชาการของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมด้วยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ พิจารณาประเมิน เพื่อขอรับแต่งตั้งตำแหน่งทางวิชาการ ซึ่งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตรวจพบเรื่องดังกล่าว และทักท้วงโต้แย้ง อย่างไรก็ตามในที่สุดปรากฏว่าทางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่กลับพิจารณาเห็นชอบให้ผลงานวิชาการดังกล่าวผ่านการประเมินและอาจารย์รายดังกล่าวได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งทางวิชาการ
ศาสตราจารย์เฉลิมพล แซมเพชร อดีตอาจารย์คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิประเมินผลงานทางวิชาการและงานวิจัยของหลายสถาบันการศึกษา เปิดเผยว่า กรณีที่อาจารย์รายหนึ่งของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ทำการคัดลอกวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกนำมาใช้เป็นผลงานวิชาการเพื่อขอตำแหน่งทางวิชาการนั้น เป็นอาจารย์ทางด้านเกษตรศาสตร์ โดยที่ตัวเองในฐานะผู้เชี่ยวชาญทรงคุณวุฒิทางด้านเกษตรศาสตร์ ได้รับการแต่งตั้งจากมหาวิทยาลัยให้เป็นหนึ่งในผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อประเมินผลงานวิชาการ จริยธรรมและจรรยาบรรณทางวิชาการของอาจารย์รายดังกล่าวด้วยเมื่อช่วงปลายปี 2560 ซึ่งต่อมาตัวเองตรวจสอบพบว่าผลงานวิชาการที่นำมาใช้นั้นเป็นการคัดลอกวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกมา และประเมินไม่ให้ผลงานวิชาการดังกล่าวผ่านเกณฑ์
ทั้งนี้ เนื่องจากการคัดลอกผลงานดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ อีกทั้งยังถือได้ว่าเป็นการกระทำผิดจริยธรรมและจรรยาบรรณทางวิชาการด้วย ต่อให้จะเป็นการคัดลอกผลงานของตัวเองเมื่อครั้งศึกษาปริญญาเอกก็ตาม ซึ่งตัวเองได้มีการแจ้งให้คณะกรรมการพิจารณาตำแหน่งทางวิชาการของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ทราบและโต้แย้งแล้ว แต่ปรากฏว่าในที่สุดกลับมีการพิจารณาให้ผลงานวิชาการดังกล่าวผ่านเกณฑ์ประเมินและอนุมัติตำแหน่งทางวิชาการให้อาจารย์รายดังกล่าวตั้งแต่ปี 2561 โดยเมื่อตัวเองทราบและเห็นความไม่ถูกต้องดังกล่าว จึงได้พยายามโต้แย้งมาอย่างต่อเนื่องโดยตลอดหลายปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ปี 2561 ทั้งกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม แต่ไม่เป็นผล
ขณะเดียวกัน มีการยื่นฟ้องต่อศาลปกครองด้วย แต่ศาลไม่รับฟ้อง โดยให้เหตุผลว่าเนื่องจากตัวเองไม่ได้เป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง กระทั่งล่าสุดช่วงต้นปี 2565 ตัวเองจึงได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยร้องเรียนปลัดกระทรวงอุดมศึกษาฯ ในข้อกล่าวหาเพิกเฉยละเว้นปฏิบัติหน้าที่ และร้องเรียนประธานคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สังกัดคณะกรรมการพิจารณาตำแหน่งทางวิชาการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในข้อกล่าวหาประพฤติมิชอบ ซึ่งปัจจุบันทาง ป.ป.ช.ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบ
ส่วนกรณีการซื้องานวิจัยและการคัดลอกผลงานนั้น ศาสตราจารย์เฉลิมพลระบุว่า การทำวิจัยหรือผลงานวิชาการนั้นต้องลงมือทำจริงและต้องทำอย่างซื่อสัตย์ด้วย ซึ่งการกระทำทั้ง 2 กรณีถือเป็นการกระทำผิดจริยธรรมและจรรยาบรรณทางวิชาการอย่างร้ายแรงเหมือนกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าละอายเป็นอย่างมากและไม่สามารถยอมรับได้ในสังคมวิชาการและการวิจัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นนักวิชาการหรืออาจารย์ที่จะไปถ่ายทอดความรู้ให้ลูกศิษย์ สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริงและเป็นแบบอย่างที่ดีด้วย ไม่เช่นนั้นจะไปเป็นผู้ถ่ายทอดให้ความรู้และสั่งสอนผู้อื่นได้อย่างไร
นอกจากนี้ ศาสตราจารย์เฉลิมพลแสดงความเห็นด้วยว่า ทั้งการซื้อผลงานวิจัยและการคัดลอกผลงานวิจัยนั้นถือเป็นหนึ่งในภาพสะท้อนให้เห็นความล้มเหลวที่เกิดขึ้นในวงการศึกษาและวิชาการ ส่วนหนึ่งมองว่ามีความเป็นไปได้ที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการที่หลายมหาวิทยาลัยมีการกำหนดเร่งรัดให้อาจารย์ต้องทำผลงานวิชาการเพื่อใช้เป็นตัวชี้วัดในการจัดลำดับมหาวิทยาลัย จนบางครั้งให้ความสำคัญในเรื่องของปริมาณจนละเลยเรื่องคุณภาพ เรื่อยไปจนถึงเรื่องจริยธรรมและจรรยาบรรณทางวิชาการ ซึ่งปรากฏว่าทั้ง 2 กรณีเกิดขึ้นและเกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดังนั้นจึงอยากเสนอแนะว่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่สมควรที่จะต้องมีการตรวจสอบพิจารณาทบทวนตัวเองอย่างถ้วนถี่รอบคอบไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก เพื่อรักษาความถูกต้องและชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย