บุรีรัมย์ - ตำรวจร่วมสหวิชาชีพสอบปากคำนักเรียนหญิง ม.2 ถูกรุ่นพี่ ม.6 มอมกัญชาบังคับขืนใจ ยอมรับไม่ได้ถูกพ่นควันกัญชาใส่หน้า และไม่มีการบังคับขืนใจเกิดจากความยินยอม ที่ให้ข่าวไปแบบนั้นเพราะกลัวพ่อแม่โกรธและเสียใจ ขณะเพื่อนอยู่ในกระท่อมที่เกิดเหตุยืนยันไม่มีใครสูบกัญชาแค่ไปตกปลาย่างกินกัน ปฏิเสธไม่เห็นตอนเกิดเหตุเพราะนอนหลับ
วันนี้ (5 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีที่ นายสมชาย (นามสมมติ) อายุ 51 ปี ชาวตำบลถนนหัก อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ได้ออกมาร้องขอความเป็นธรรมกรณีที่ลูกสาวซึ่งเรียนอยู่ชั้น ม.2 ในอำเภอนางรอง ได้ถูกนักเรียนชายรุ่นพี่ชั้น ม.6 โรงเรียนเดียวกัน มอมกัญชาด้วยการสูบแล้วพ่นควันใส่หน้าหลายครั้งจนเบลอก่อนบังคับขืนใจลูกสาว ท่ามกลางเพื่อนของฝ่ายชายที่นั่งมั่วสุมสูบบุหรี่และกัญชาในกระท่อมเกือบ 10 คน เหตุเกิดช่วงเย็น ของวันที่ 21 ธ.ค. 65 ปีที่ผ่านมา ที่กระท่อมนาของฝ่ายชาย
เบื้องต้นทางครอบครัวได้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานเพื่อให้โอกาสครอบครัวฝ่ายชายได้พูดคุยไกล่เกลี่ย เพราะไม่อยากให้เรื่องบานปลาย เนื่องจากทั้งสองยังเป็นเยาวชนและเรียนหนังสืออยู่ โดยครอบครัวฝ่ายชายรับปากว่าจะรับผิดชอบด้วยการมาพูดคุยหมั้นหมายกันไว้ก่อน โดยจะจ่ายเงินมัดจำไว้ก่อน 50,000 บาท ในวันที่ 1 ม.ค. 66 ส่วนอีก 2 แสนบาทอีก 1 ปีจะจ่ายให้ จากนั้นเมื่อทั้งสองคนเรียนจบค่อยมาพูดคุยกันอีกที
แต่พอถึงวันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา ทางครอบครัวฝ่ายชายกลับเงียบหายไม่ติดต่อพูดคุยอะไรเลย จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความร้องทุกข์เพื่อดำเนินการตามกระบวนการกฎหมายเมื่อวันที่ 2 ม.ค.ที่ผ่านมา แต่ที่ออกมาร้องเรียนเพราะกลัวจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะครอบครัวของคู่กรณีรู้จักกับนายตำรวจใหญ่ในพื้นที่นั้น ซึ่งพ่อนักเรียนชายได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่เคยรู้จักนายตำรวจใหญ่ตามที่พ่อผู้เสียหายกล่าวอ้าง พร้อมบอกหากลูกผิดจริงพร้อมเข้าสู่กระบวนยุติธรรมตามกฎหมาย นั้น
ล่าสุด พ.ต.อ.อนุการ ธรรมวิจารณ์ ผู้กำกับการ (ผกก.) สภ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ พร้อมพนักงานสอบสวน สภ.นางรอง และนักสังคมสงเคราะห์ ร่วมสอบปากคำนักเรียนหญิงผู้เสียหาย เนื่องจากยังเป็นเยาวชน โดยผู้เสียหายให้การว่า ในวันเวลาเกิดเหตุไม่มีการสูบกัญชาหรือสารเสพติด และไม่มีการพ่นควันใส่หน้า ทั้งไม่มีการบังคับข่มขืนใจผู้เสียหายแต่อย่างใด เกิดจากความยินยอมของผู้เสียหาย ส่วนที่ให้การตามที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้นั้นเพราะเนื่องจากกลัวบิดามารดาจะโกรธและเสียใจ จึงได้ให้การไปตามข่าวที่เสนอไป
ส่วนจากการสอบปากคำพยานจำนวน 4 ปาก ที่อยู่ในกระท่อมวันเกิดเหตุ พยานทั้ง 4 ปากก็ให้การตรงกันว่าไม่มีการสูบกัญชาหรือเสพสารเสพติดและพ่นควันใส่ผู้เสียหายแต่อย่างใด ซึ่งหลังจากสอบปากคำผู้เสียหายแล้ว จะได้เรียกผู้ถูกกล่าวหามาสอบปากคำตามขั้นตอน ส่วนจะเข้าข่ายความผิดอะไรนั้นขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน ซึ่งจะให้ความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย
ขณะที่ นายเก่ง (นามสมมติ) นักเรียนชั้น ม.6 หนึ่งในพยาน 4 คนที่อยู่ในกระท่อมวันเกิดเหตุด้วย เล่าว่า วันที่เกิดเหตุตนกับเพื่อนผู้ชายรวม 5 คน และผู้เสียหายซึ่งเป็นนักเรียนหญิงรวมเป็น 6 คน ได้ไปกระท่อมดังกล่าวจริง ซึ่งปกติตนกับเพื่อนผู้ชายก็จะไปตกปลาและย่างปลากินกันประจำอยู่แล้ว แต่วันนั้นน้องนักเรียนหญิงได้มากับนายเอ็ม ผู้ถูกกล่าวหาด้วย ยอมรับว่าตนเองกับเพื่อนมีการสูบบุหรี่จริง แต่ยืนยันว่าไม่มีใครสูบกัญชา โดยเฉพาะนายเอ็ม ไม่ได้สูบกัญชาแน่นอน เพราะบุหรี่เขาก็เลิกสูบไปนานแล้ว
ส่วนที่นายเอ็มจะบังคับผู้เสียหายไปทำอะไรนั้น พวกตนไม่เห็นเพราะพอย่างปลากินกันแล้วก็พากันนอนหลับบนกระท่อม หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันกลับบ้าน พอเห็นข่าวว่าเพื่อนถูกแจ้งความกล่าวหาว่าไปกระทำชำเราน้องนักเรียนหญิงก็ตกใจ ยิ่งกล่าวหาว่าสูบกัญชาพ่นควันใส่ยิ่งไม่เป็นความจริง ก็อยากขอความเป็นธรรมให้เพื่อนด้วย